⇧ กฏหมายทางทะเล

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 หรือ UNCLOS1982 นี้มีบทบัญญัติครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายทะเลอย่างกว้างขวาง ทั้งส่วนที่ซ้ำซ้อนกับอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ.1958 และส่วนอื่นๆที่บัญญัติขึ้นใหม่รวมทั้งสิ้น 17 ภาค มีข้อบัญญัติ 320 ข้อ มีสาระสำคัญโดยสังเขปดังนี้

ภาค 1 บทนำ (Introduction)

  • การใช้ถ้อยคำและขอบเขต กำหนดนิยามเฉพาะคำศัพท์
  • บริเวณพื้นที่ (Area)
  • องค์กร (Authority)
  • กิจกรรมในบริเวณพื้นที่ (Activities in the Area)
  • ภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อมทางทะเล (Pollution of the marine environment)
  • การเททิ้ง (Dumping)

ภาค 2 ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (Territorial Sea and Contiguous Zone)

  • รัฐชายฝั่งมีอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตกว้าง 12 ไมล์ทะเล (1 ไมล์ทะเล = 1.852 กิโลเมต) วัดจากเส้นฐานที่กำหนดตามอนุสัญญานี้
  • เรือต่างชาติ (รวมทั้งเรือรบและเรือพาณิชย์) สามารถใช้ ”สิทธิการผ่านโดยสุจริต” ในทะเลอาณาเขต การผ่านโดยสุจริตตราบเท่าที่ไม่เสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของรัฐชายฝั่ง
  • ในเขตต่อเนื่อง ถัดจากทะเลอาณาเขตออกมา 12 ไมล์ทะเล รัฐชายฝั่งสามารถควบคุมและลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายที่กระทำภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขต เกี่ยวกับการศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง และการสุขาภิบาล

ภาค 3 ช่องแคบที่ใช้เพื่อการเดินเรือระหว่างประเทศ (Straits Used for International Navigation)

  • เรือและอากาศยานทุกชาติสามารถใช้สิทธิการเดินทางผ่านช่องแคบที่ใช้เพื่อการเดินเรือระหว่างประเทศ
  • การเดินทางผ่าน หมายถึง เสรีภาพในการเดินเรือและการบินผ่านเพื่อมุ่งประสงค์จะผ่านช่องแคบอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยปราศจากการคุกคามต่อรัฐที่อยู่ติดกับช่องแคบ
  • รัฐที่อยู่ติดกับช่องแคบ อาจออกกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินเรือและอื่นๆ เกี่ยวกับการผ่าน

ภาค 4 รัฐหมู่เกาะ (Archipelagic States)

  • รัฐที่ประกอบด้วยกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่มของเกาะที่เกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และน่านน้ำที่เชื่อมติดต่อระหว่างกันมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ทางทะเลที่ถูกปิดล้อมด้วยเส้นฐานตรงที่ลากเชื่อมต่อระหว่างจุดนอกสุดของเกาะ
  • เรือของรัฐอื่นมีสิทธิการผ่านช่องทางทะเลที่กำหนดโดยรัฐหมู่เกาะ (right of passage through sea lanes)

ภาค 5 เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone)

  • รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (Sovereign right) เหนือเขต 200 ไมล์ จากชายฝั่งเกี่ยวกับทรัพยากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมีเขตอำนาจ เกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการคุ้มครองรักษาสิ่งแวดล้อม
  • รัฐอื่นมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล
  • ให้รัฐชายฝั่งร่วมมือกันในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ที่ย้ายถิ่นอยู่เสมอและสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม
  • รัฐไร้ฝั่งทะเลและรัฐที่เสียเปรียบทางภูมิศาสตร์ มีสิทธิใช้ทรัพยากรส่วนที่เหลือ (surplus) ของรัฐชายฝั่งในภูมิภาคเดียวกัน
  • การกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐที่อยู่ตรงข้ามหรือประชิด ให้ทำความตกลงกันบนมูลฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้บรรลุผลอันเที่ยงธรรม (equitable solution)

ภาค 6 ไหล่ทวีป (Continental Shelf)

  • รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือไหล่ทวีป ในการแสวงผลประโยชน์จากทรัพยากรบนไหล่ทวีป (สิทธินี้ไม่กระทบน่านน้ำและอากาศ)
  • เขตไหล่ทวีปขยายได้อย่างน้อย 200 ไมล์จากชายฝั่ง หรืออาจถึง 350 ไมล์ หรือไม่เกิน 100 ไมล์จากเส้นน้ำลึกเท่า 2,500 เมตร ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและรูปร่างของขอบทวีป
  • รัฐชายฝั่งต้องชำระเงินให้กับองค์กรพื้นท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Sea-Bed Authority) เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่เกิน 200 ไมล์ออกไป
  • คณะกรรมาธิการเขตไหล่ทวีป ทำหน้าที่แนะนำรัฐเกี่ยบกับการกำหนดเขตขอบนอกของไหล่ทวีป

ภาค 7 ทะเลหลวง (High Seas)

  • รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วิจัย และทำการประมงในทะเลหลวง ซึ่งเป็นบริเวณที่อยูนอกเหนือเขตอำนาจของรัฐใด
  • รัฐมีหน้าที่ร่วมมือกันใช้มาตรการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรมีชีวิตในทะเลหลวง

ภาค 8 ระบอบของเกาะ (Regime of Islands)

  • เกาะมี ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และไหล่ทวีปได้ โดยมีวิธีการกำหนดเขตเช่นเดียวกับอาณาเขตที่เป็นแผ่นดิน
  • โขดหินที่ไม่สามารถเป็นที่อาศัยของมนุษย์ และไม่สามารถยังชีพทางเศรษฐกิจได้ (non-economic viability) ย่อมไม่มีทะเลอาณาเขต หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือไหล่ทวีปของตน

ภาค 9 ทะเลปิดหรือกึ่งปิด (Enclosed or Semi-Enclosed Sea)

  • รัฐที่อยู่กับทะเลปิดหรือกึ่งปิด ควรร่วมมือกันในการจัดการทรัพยากรมีชีวิต ประสานนโยบายการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประสานงานด้านการคุ้มครองและการักษาสิ่งแวดล้อม

ภาค 10 สิทธิของรัฐไร้ฝั่งทะเลที่จะออกไปสู่และเข้ามาจากทะเล และเสรีภาพในการผ่าน (Right of Access of Land-Locked State to and from the Sea, and Freedom of Transit)

  • ประชาชนและสินค้าของรัฐไร้ฝั่งทะเลต้องได้รับสิทธิที่จะออกไปสู่หรือเข้ามาจากทะเลผ่านรัฐเพื่อนบ้านที่มีชายฝั่งทะเลโดยความตกลงระหว่างกัน

ภาค 11 บริเวณพื้นที่ (The Area)

  • บริเวณพื้นที่ หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (sea-bed) พื้นมหาสมุทร (ocean floor) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) ที่อยู่พ้นขอบเขตของเขตอำนาจรัฐ
  • กิจกรรมทั้งปวงในบริเวณพื้นที่ต้องถูกควบคุมโดยองค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Sea-Bed Authority) ภายใต้หลักการที่ว่า บริเวณพื้นที่และทรัพยากรในบริเวณพื้นที่เป็นมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ
  • มีระบบในการสำรวจและแสวงประโยชน์แร่ธาตุพื้นท้องทะเลซึ่งดำเนินการโดยองค์กรและโดยรัฐภาคี (หรือรัฐวิสาหกิจ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่ถือสัญชาติรัฐภาคี) ดำเนินการร่วมกับองค์กรภายใต้สัญญาร่วม
  • องค์กรฯ มีหน้าที่ กำหนดกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ และวิธีการทำเหมืองแร่พื้นท้องทะเล
  • องค์กรฯ ประกอบด้วย รัฐวิสาหกิจเพื่อการทำเหมืองแร่ (Enterprise for Mining)สมัชชา (Assembly) คณะมนตรี (Council)และสำนักเลขาธิการ (Secretariat)

ภาค 12 การคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล (Protection and Preservation of the Marine Environment)

  • รัฐทั้งปวงมีพันธกรณีที่จะต้องใช้วิธีการที่พึงปฏิบัติได้ดีที่สุดตามแต่จะเลือก เพื่อป้องกัน ลด และควบคุมภาวะมลพิษทางทะเลจากแหล่งใดๆ
  • รัฐทั้งปวงจะต้องร่วมมือกันในระดับโลกและระดับภูมิภาคในการแจ้งให้รัฐอื่นทราบเกี่ยวกับความเสียหายที่ใกล้จะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นจริง และต้องพัฒนาแผนฉุกเฉิน (contingency plan) เพื่อต่อต้านภาวะมลพิษ
  • รัฐทั้งปวงจะส่งเสริมในด้านความช่วยเหลือทางเทคนิค การติดตามตรวจสอบและการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
  • กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศและกฎหมายของชาติ จะต้องนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกัน ลด และควบคุมภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้มทางทะเล อันเกิดจากแหล่งทางบกและกิจกรรมของมหาสมุทรและพื้นดินท้องทะเล รวมถึงการทิ้งเท (dumping)
  • การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นความรับผิดชอบของรัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐเจ้าของธง ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ แหล่ง และบริเวณที่เกิดการกระทำผิด
  • มาตรการป้องกัน (Safeguards) สามารถใช้ได้ในกรณีที่วิธีการในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายไม่เหมาะสม
  • บริเวณที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง (ice-covered areas) อาจได้รับความคุ้มครองโดยเกณฑ์พิเศษเพื่อต่อต้านภาวะมลพิษจากเรือ
  • รัฐทั้งปวงจะต้องรับผิด สำหรับความเสียหายอันเกิดจาการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศในการต่อสู้ภาวะมลพิษทางทะเล
  • พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาอื่นๆ ว่าด้วยการคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลจะต้องไม่ถูกทำให้เสียโดยอนุสัญญานี้
  • เรือรบได้รับการคุ้มกันอธิปไตย (sovereign immunity) จากข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้โดยรัฐอื่น แต่รัฐที่เป็นเจ้าของจะต้องประกันว่า เรือรบของตนกระทำการในลักษณะที่สอดคล้องกับอนุสัญญาเท่าที่จะพึงปฏิบัติได้

ภาค 13 การวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล (Marine Scientific Research)

  • รัฐทั้งปวงมีสิทธิในการทำวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลเฉพาะเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางสันติ
  • การวิจัยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและบนไหล่ทวีปต้องได้รับความยินยอมของรัฐชายฝั่ง
  • สิ่งติดตั้งและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต้องไม่รบกวนเส้นทางเดินเรือและต้องติดเครื่องหมาย และสัญญาณเตือนภัย
  • รัฐและองค์การระหว่างประเทศต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย
  • รัฐที่ทำการวิจัยอาจร้อยขอให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ย (concillation commission) ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับโครงการวิจัย

ภาค 14 การพัฒนาและการถ่อยทอดเทคโนโลยี (Development and Transfer of Marine Technology)

  • รัฐทั้งปวงมีหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเลตามข้อกำหนดที่เป็นธรรมและตามสมควร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมทั้งผู้เป็นเจ้าของ ผู้ให้ และผู้รับเทคโนโลยี
  • ส่งเสริมการจัดตั้งและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและภูมิภาค

ภาค 15 การระงับข้อพิพาท (Settlement of Disputes)

  • รัฐภาคีมีพันธกรณีที่จะต้องระงับข้อพิพาทโดยสันติ
  • กรณีไม่อาจระงับระดับทวิภาคี ต้องเสนอข้อพิพาทสู่วิธีการเชิงบังคับ โดยอาจเลือกวิธีพิจารณาข้อใดข้อหนึ่งจาก
    1. ศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (International Tribunal for the Law of the Seas)
    2. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
    3. ศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ตั้งขึ้นตามภาคผนวก 7
    4. ศาลอนุญาโตตุลาการพิเศษ (Special arbitrations)
      • การประมง (fisheries)
      • การป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล (protection and preservation of marine environment)
      • การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางทะเล (marine scientific research)
      • การเดินเรือ รวมถึงมลพิษจากเรือและการเททิ้ง navigation (including pollution from vessels, and dumping)
  • ข้อพิพาทบางประเภทเสนอให้พิจารณาโดยไกล่เกลี่ย อันไม่มีผลผูกพันคู่กรณี
  • รัฐมีข้อยกเว้นไม่ยอมรับการพิจารณาเชิงบังคับเรื่องที่เปราะบาง เช่น การกำหนดเขตแดนทางทะเลและกิจกรรมทาง ทหาร (โดยต้องตั้งข้อสงวนต่อเชขาธิการสหประชาชาติ)

ภาค 16 บทบัญญัติทั่วไป (General Provisions)

  • รัฐทั้งปวงต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่อยู่ในอนุสัญญานี้ด้วยความสุจริตและจะไม่ใช้สิทธิในทางที่ผิด และงดเว้นการ คุกคามโดยใช้กำลังอันขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
  • รัฐไม่มีพันธกรณีต้องเปิดเผยข้อสนเทศที่ขัดผลประโยชน์ด้านความมั่นคง
  • รัฐชายฝั่งมีเขตอำนาจเหนือวัตถุโบราณคดีและทางประวัติศาสตร์ที่พบในทะเลภายในเขตต่อเนื่อง (24 ไมล์ทะเลจากฝั่ง)

ภาค 17 บทบัญญัติสุดท้าย (Final Provisions)

  • บทบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลสามารถแก้ไขเพิ่มเติม และมีผลบังคับใช้ภายหลังจาก 1 ปี นับจากวันที่ 2/3 รัฐภาคีให้สัตยาบัน
  • การแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเล ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีและสมัชชา โดยจะมีการพิจารณาทบทวนทุก 15 ปี
  • อนุสัญญามีผลบังคับใช้ 1 ปี นับจากวันที่รัฐภาคีที่ 60 ให้สัตยาบันสารหรือภาคยานุวัติสาร

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.mkh.in.th