ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา
Quote from paen on September 8, 2025, 11:42 pmเขตแดนระหว่าง ไทย-กัมพูชา มีความยาวทางบกประมาณ 798 กิโลเมตร อาศัยแนวตามธรรมชาติ เช่น เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาบรรทัด และแม่น้ำลำคลองเป็นหลักในการแบ่งเขต มีจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนหลายแห่งใน 7 จังหวัดของไทยที่ติดกับกัมพูชา ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด
ในการปักปันเขตแดน ไทย-กัมพูชามีที่มาจากการตกลงกันระหว่างไทย (สยามในอดีต) และฝรั่งเศส โดยมีการจัดทำเอกสารทางกฎหมายและแผนที่เพื่อกำหนดแนวเขตแดนที่ชัดเจน โดยแบ่งลักษณะของแนวเขตแดนออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- แนวเขตที่อิงตาม สันปันน้ำ ยาวประมาณ 524 กิโลเมตร
- แนวเขตที่อิงตาม ลำน้ำ ยาวประมาณ 216 กิโลเมตร
- แนวเขตที่เป็น เส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน ยาวประมาณ 58 กิโลเมตร
แนวเขตแดนนี้มีที่มาจากการตกลงกันระหว่าง สยามและฝรั่งเศส โดยมีการจัดทำหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่
- อนุสัญญา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904
- สนธิสัญญา วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907
การปักหลักเขตแดนในพื้นที่
- ช่วงปี ค.ศ. 1908–1909 เริ่ม ปักหลักเขตแดนจริงในภูมิประเทศ โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้
- ในปี ค.ศ. 1919–1920 เปลี่ยนเป็น หลักคอนกรีต
ลักษณะของหลักเขตแดน
- จุดเริ่มต้น หลักเขตแดนที่ 1 บริเวณ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
- จุดสิ้นสุด หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
รวมหลักทั้งหมด 74 หลัก โดยจัดวางตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่
- ตามสันปันน้ำ 34 หลัก
- ตามแนวลำน้ำ 19 หลัก
- เป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก 21 หลัก
- บวกหลักย่อย 22B 1 หลัก
หมายเหตุ พื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ไม่มีการปักหลักเขต เนื่องจากอยู่ในขอบเขตการปักปันชุดแรกที่ได้ดำเนินการแล้ว โดยใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนความจำเป็นในการสำรวจใหม่ และในปัจจุบัน หลักเขตแดนเดิมบางส่วน สูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกเคลื่อนย้าย อีกทั้งตั้งอยู่ห่างกันมาก ทำให้บางพื้นที่ไม่มีความชัดเจน(ข้อมูลจาก กองทัพบก)(ภาพจาก : กองทัพบก)
เขตแดนระหว่าง ไทย-กัมพูชา มีความยาวทางบกประมาณ 798 กิโลเมตร อาศัยแนวตามธรรมชาติ เช่น เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาบรรทัด และแม่น้ำลำคลองเป็นหลักในการแบ่งเขต มีจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนหลายแห่งใน 7 จังหวัดของไทยที่ติดกับกัมพูชา ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด
ในการปักปันเขตแดน ไทย-กัมพูชามีที่มาจากการตกลงกันระหว่างไทย (สยามในอดีต) และฝรั่งเศส โดยมีการจัดทำเอกสารทางกฎหมายและแผนที่เพื่อกำหนดแนวเขตแดนที่ชัดเจน โดยแบ่งลักษณะของแนวเขตแดนออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- แนวเขตที่อิงตาม สันปันน้ำ ยาวประมาณ 524 กิโลเมตร
- แนวเขตที่อิงตาม ลำน้ำ ยาวประมาณ 216 กิโลเมตร
- แนวเขตที่เป็น เส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน ยาวประมาณ 58 กิโลเมตร
แนวเขตแดนนี้มีที่มาจากการตกลงกันระหว่าง สยามและฝรั่งเศส โดยมีการจัดทำหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่
- อนุสัญญา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904
- สนธิสัญญา วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907
- ช่วงปี ค.ศ. 1908–1909 เริ่ม ปักหลักเขตแดนจริงในภูมิประเทศ โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้
- ในปี ค.ศ. 1919–1920 เปลี่ยนเป็น หลักคอนกรีต
ลักษณะของหลักเขตแดน
- จุดเริ่มต้น หลักเขตแดนที่ 1 บริเวณ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
- จุดสิ้นสุด หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
- ตามสันปันน้ำ 34 หลัก
- ตามแนวลำน้ำ 19 หลัก
- เป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก 21 หลัก
- บวกหลักย่อย 22B 1 หลัก

Quote from paen on September 9, 2025, 5:54 amMOU 43 และ MOU 44
MOU43
- ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 โดยรัฐบาลสมัย นายชวน หลีกภัย
- มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก”
- จุดประสงค์คือการกำหนดกรอบความร่วมมือในการสำรวจและจัดทำเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร
- ข้อ 5 ของ MOU ระบุว่าทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดนก่อนผลการสำรวจร่วมจะแล้วเสร็จ
- ไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงนี้มากกว่า 600 ครั้ง เช่น การสร้างสิ่งปลูกสร้างและเคลื่อนกำลังทหาร
MOU 44
- ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
- มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล”
- ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยประมาณ 26,000 ตร.กม. แบ่งเป็น
- พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน (เหนือเส้นละติจูด 11°) เพื่อเจรจาปักปันเขตแดน
- พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง (ใต้เส้นละติจูด 11°) เพื่อพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม
- มีการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) เพื่อดำเนินการเจรจา แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงปัจจุบัน
ประเด็นทางกฏหมายและการเมือง
- ทั้งสอง MOU ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ
- MOU 44 ถูกมองว่า “โมฆะตั้งแต่ต้น” เนื่องจากไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย
ผลกระทบจาก MOU 43 ด้านความมั่นคงทางบก
- อธิปไตยเหนือดินแดน ข้อ 5 ของ MOU 43 ระบุให้ทั้งสองฝ่าย “งดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่” ก่อนการสำรวจร่วมจะเสร็จสิ้น ซึ่งถูกตีความว่าอาจจำกัดสิทธิไทยในการป้องกันหรือจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาท เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร
- ความขัดแย้งชายแดน มีรายงานว่ากัมพูชาสร้างสิ่งปลูกสร้างและเคลื่อนกำลังทหารในพื้นที่พิพาทมากกว่า 600 ครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางทหารและการปะทะ
- ความล่าช้าในการจัดทำหลักเขต การสำรวจร่วมไม่คืบหน้า ทำให้พื้นที่บางส่วนยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน ส่งผลต่อการควบคุมพื้นที่และการพัฒนา
ผลกระทบ MOU 44 ด้านความมั่นคงทางทะเล
- ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่ในอ่าวไทยที่มีศักยภาพด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติถูกระงับการพัฒนา เพราะยังไม่มีข้อตกลงร่วมที่ชัดเจน ส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
- การเจรจาแบบ “พัฒนาโดยไม่ปักปันเขต” แนวทางนี้อาจเปิดช่องให้เกิดการเสียเปรียบในอนาคต หากมีการแบ่งผลประโยชน์ไม่เท่าเทียม หรือหากอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากพื้นที่ก่อน
- ความไม่โปร่งใสในการลงนาม: MOU 44 ไม่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาไทย จึงถูกวิจารณ์ว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทบต่อความมั่นคงเชิงนิติรัฐ
MOU 43 และ MOU 44
MOU43
- ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 โดยรัฐบาลสมัย นายชวน หลีกภัย
- มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก”
- จุดประสงค์คือการกำหนดกรอบความร่วมมือในการสำรวจและจัดทำเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร
- ข้อ 5 ของ MOU ระบุว่าทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดนก่อนผลการสำรวจร่วมจะแล้วเสร็จ
- ไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงนี้มากกว่า 600 ครั้ง เช่น การสร้างสิ่งปลูกสร้างและเคลื่อนกำลังทหาร
MOU 44
- ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
- มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล”
- ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยประมาณ 26,000 ตร.กม. แบ่งเป็น
- พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน (เหนือเส้นละติจูด 11°) เพื่อเจรจาปักปันเขตแดน
- พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง (ใต้เส้นละติจูด 11°) เพื่อพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม
- มีการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) เพื่อดำเนินการเจรจา แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงปัจจุบัน
ประเด็นทางกฏหมายและการเมือง
- ทั้งสอง MOU ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ
- MOU 44 ถูกมองว่า “โมฆะตั้งแต่ต้น” เนื่องจากไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย
ผลกระทบจาก MOU 43 ด้านความมั่นคงทางบก
- อธิปไตยเหนือดินแดน ข้อ 5 ของ MOU 43 ระบุให้ทั้งสองฝ่าย “งดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่” ก่อนการสำรวจร่วมจะเสร็จสิ้น ซึ่งถูกตีความว่าอาจจำกัดสิทธิไทยในการป้องกันหรือจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาท เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร
- ความขัดแย้งชายแดน มีรายงานว่ากัมพูชาสร้างสิ่งปลูกสร้างและเคลื่อนกำลังทหารในพื้นที่พิพาทมากกว่า 600 ครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางทหารและการปะทะ
- ความล่าช้าในการจัดทำหลักเขต การสำรวจร่วมไม่คืบหน้า ทำให้พื้นที่บางส่วนยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน ส่งผลต่อการควบคุมพื้นที่และการพัฒนา
ผลกระทบ MOU 44 ด้านความมั่นคงทางทะเล
- ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่ในอ่าวไทยที่มีศักยภาพด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติถูกระงับการพัฒนา เพราะยังไม่มีข้อตกลงร่วมที่ชัดเจน ส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
- การเจรจาแบบ “พัฒนาโดยไม่ปักปันเขต” แนวทางนี้อาจเปิดช่องให้เกิดการเสียเปรียบในอนาคต หากมีการแบ่งผลประโยชน์ไม่เท่าเทียม หรือหากอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากพื้นที่ก่อน
- ความไม่โปร่งใสในการลงนาม: MOU 44 ไม่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาไทย จึงถูกวิจารณ์ว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทบต่อความมั่นคงเชิงนิติรัฐ
Quote from paen on September 9, 2025, 6:07 amแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 กับ 1 : 200,000
มาทำความเข้าใจ ความแตกต่างระหว่างแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 กับ 1 : 200,000 ซึ่งมีผลอย่างมากต่อความแม่นยำในการใช้งาน โดยเฉพาะในบริบททางทหาร การกำหนดเขตแดน และการวางแผนยุทธศาสตร์ โดยอธิบายให้เข้าใจได้ดังนี้
- อัตราส่วน 1 : 50,000 หมายถึง 1 หน่วยบนแผนที่ = 50,000 หน่วยจริง (เช่น 1 ซม. = 50,000 ซม. หรือ 500 เมตร)
- อัตราส่วน 1 : 200,000 หมายถึง 1 หน่วยบนแผนที่ = 200,000 หน่วยจริง (เช่น 1 ซม. = 200,000 ซม. หรือ 2 กิโลเมตร)
ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ เส้นเขตแดนใน แผนที่ 1 : 200,000 เปรียบเหมือนใช้ปากกาเมจิกหัวใหญ่ ขีดแล้วกินพื้นที่ประมาณ 200 เมตร การมีมาตราส่วนที่ละเอียดเช่นนี้ทำให้แผนที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เห็นถึงเนินเขา ลำธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับการกำหนดเขตแดนที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนแผนที่ 1 : 50,000 เหมือนใช้ปากกาหัวเข็ม ขีดแล้วกินพื้นที่แค่ 50 เมตร แผนที่ชุดนี้มีรายละเอียดน้อยกว่าแผนที่ไทยถึง 4 เท่า แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการมองภาพรวมของบริเวณกว้าง โดยปัจจุบัน ประเทศไทยใช้แผนที่ 1 : 50,000 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ทหารทั่วโลกใช้ แต่กัมพูชายังใช้แผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งล้าสมัยและมีความคลาดเคลื่อนสูง ความแตกต่างนี้ เป็นหนึ่งในต้นเหตุของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร
แผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 กับ 1 : 200,000
มาทำความเข้าใจ ความแตกต่างระหว่างแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 กับ 1 : 200,000 ซึ่งมีผลอย่างมากต่อความแม่นยำในการใช้งาน โดยเฉพาะในบริบททางทหาร การกำหนดเขตแดน และการวางแผนยุทธศาสตร์ โดยอธิบายให้เข้าใจได้ดังนี้
- อัตราส่วน 1 : 50,000 หมายถึง 1 หน่วยบนแผนที่ = 50,000 หน่วยจริง (เช่น 1 ซม. = 50,000 ซม. หรือ 500 เมตร)
- อัตราส่วน 1 : 200,000 หมายถึง 1 หน่วยบนแผนที่ = 200,000 หน่วยจริง (เช่น 1 ซม. = 200,000 ซม. หรือ 2 กิโลเมตร)
ตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ เส้นเขตแดนใน แผนที่ 1 : 200,000 เปรียบเหมือนใช้ปากกาเมจิกหัวใหญ่ ขีดแล้วกินพื้นที่ประมาณ 200 เมตร การมีมาตราส่วนที่ละเอียดเช่นนี้ทำให้แผนที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เห็นถึงเนินเขา ลำธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับการกำหนดเขตแดนที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนแผนที่ 1 : 50,000 เหมือนใช้ปากกาหัวเข็ม ขีดแล้วกินพื้นที่แค่ 50 เมตร แผนที่ชุดนี้มีรายละเอียดน้อยกว่าแผนที่ไทยถึง 4 เท่า แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขวางกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการมองภาพรวมของบริเวณกว้าง โดยปัจจุบัน ประเทศไทยใช้แผนที่ 1 : 50,000 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ทหารทั่วโลกใช้ แต่กัมพูชายังใช้แผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งล้าสมัยและมีความคลาดเคลื่อนสูง ความแตกต่างนี้ เป็นหนึ่งในต้นเหตุของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร