Category: Uncategorized

รังกา / ยามรังกา

⇑ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

รังกา หรือ crow’s nest มีลักษณะเป็นคอกที่กั้นเป็นวงหรือสี่เหลี่ยมบนยอดเสากระโดงเรือ มีไว้สำหรับยามยอดเสา ยืนสังเกตการณ์สิ่งต่างๆ รอบเรือที่ไกลออกไป เช่น เรือลำอื่น จุดอันตราย หรือ เกาะ หินโผล่พ้นน้ำ ต่างๆ จุดเริ่มต้นมาจาก ในสมัยโบราณ ทหารเรือของนอร์เวย์ได้นำกรงใส่กาไปผูกไว้บนยอดเสา เมื่อหลงทางหรือหาทางเข้าฝั่งไม่ได้ จะปล่อยกาออกไปหนึ่งตัว และสังเกตว่ามันบินไปทางไหน ก็จะหันหัวเรือไปทางทิศนั้นเพื่อไปยังแผ่นดิน ซึ่งเป็นวิธีการเดินเรืออย่างหยาบ ๆ แต่ใช้งานได้ดีตามวิทยาการในสมัยนั้น ในภายหลัง การมาของเรดาห์ทำให้ความจำเป็นของการรังกาลดน้อยลงไปตามลำดับ แต่ก็ยังมีพบเห็นอยู่

ในปัจจุบัน ในวงการทหารเรือ ยังใช้วิธีแบบยามรังกาอยู่ แต่เรียกว่า ยามทัศนะ เป็นยามที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าทัศนะ (ทัศนสัญญาณ) คือยืนอยู่ ณ จุดสูงๆ อาจอยู่บนหลังคาสะพานเดินเรือ โดยยามทัศนะหรือยามรังกานี้ มีหน้าที่ รอชักธงสัญญาณ ส่ง-รับ ข่าวทางทัศนะกับเรือพวกเดียวกัน เช่น ธงประมวลไทย/สากล international code ซึ่งเป็นการติดต่อสื่อสารที่ปลอดภัยมากที่สุดวิธีหนึ่งของทหาร เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการดักรับการสื่อสารน้อย อีกทั้งยามทัศนะนี้ ยังมีหน้าที่ตรวจการณ์ระยะไกลทางสายตาด้วยกล้องส่องทางไกลอีกด้วย ซึ่งมีหลายๆครั้งที่เรดาห์ไม่สามารถตรวจพบได้



แหล่งอ้างอิง

  • https://en.wikipedia.org
  • https://iamjasonbrown.wordpress.com
  • หนังสือขนบธรรมเนียม ประเพณีทหารเรือ

สมอเรือ

⇑ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

สมอเรือ เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ยึดเรือให้อยู่กับที่ในทะเล โดย สมอเรือ หรือ anchor ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึงเบ็ดตกปลาหรือตะขอ โดยถุงทรายหรือก้อนหิน ได้ถูกนำมาใช้เป็นสมอเรือในยุคแรกๆ นอกจากนี้สมอเรือยังนำมาเป็นสัญลักษณ์ของการพานิชย์ และความมั่นคง รวมทั้งความหวัง ความหนักแน่น และเด็ดเดี่ยวอีกด้วย ในบันทึกของชาวจีนกล่าวว่า จีนมีสมอเรือ หางเสือ และไม้พายใช้งานมาตั้งแต่ 2.000 ปี ก่อนคริสตกาล ในบันทึกระบุว่า จักรพรรดิ Yu ได้ประดิษฐ์สมอเรือขึ้นมา รวมทั้งเป็นคนแรกที่มีการใช้งานโซ่สมอเรือ สำหรับ สมอ ในภาษาไทยนั้น มีจากคำศัพท์จกคำว่า “ถมอ” ในภาษาเขมร แปลว่า หิน ชื่อเรียกนี้แสดงให้เห็นถึงวัสดุดั้งเดิมของสิ่งที่ใช้ถ่วงเรือให้จอดอยู่กับที่ว่าเคยทำด้วยหินมาก่อน


สมอเรือ สามารถแบ่งออกได้ 3 แบบ คือ

  • แบบราชนาวี (Admiralty Pattern) เป็นสมอแบบเก่า มีความยุ่งยากในการเก็บ โดยเฉพาะเรือที่มีขนาดใหญ่
  • แบบไม่มีกะ (Stockless) เป็นสมอแบบใหม่ได้พัฒนาขึ้น สามารถแขวนที่รูสมอได้มั่นคงขึ้นในขณะเรือเดินทางในทะเล
  • แบบเก็บกระชับ (Close Stowing) ออกแบบมาให้เก็บกระชับเข้ากับตัวเรือ โดยเฉพาะเห็นได้ในเรือรบ
Admiralty Pattern
Stockless Anchor
Close Stowing Anchor

แหล่งอ้างอิง

  • นาวิกศาสตร์ เล่ม เดือน ก.ย.2564
  • https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bangkokanchor

พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562

⇧ กฏหมายทางทะเล

ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ซึ่งปัญหาดังกล่าวอยู่ในเขตทางทะเลอันมีลักษณะที่หลากหลายและประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยหรือสิทธิอธิปไตยที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลไว้ รวมทั้งมีสิทธิหน้าที่อื่นตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณี จะต้องปฏิบัติตามอีกด้วย อันทำให้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถใช้บังคับในเขตทางทะเลที่อยู่ภายนอกราชอาณาจักร หรืออาจไม่ครอบคลุมถึงการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีอยู่อย่างมากมายในทุก ๆ ด้าน เช่น ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ด้านทรัพยากร หรือด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้อย่างมีเอกภาพ บูรณาการ และประสานการปฏิบัติงานในเขตทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน



แหล่งอ้างอิง

  • http://www.misc.go.th

Wolfpack

⇧ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

Wolfpack หรือ ฝูงหมาป่า เป็นยุทธวิธีเรือดำน้ำของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง

เรือดำน้ำหรือเรืออู (U-Boat ภาษาเยอรมันคือ U-Boot ย่อมาจาก Unterseeboot เรือใต้ทะเล) ของเยอรมนีเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในสงครามโลกครั้งที่สอง จากการออกล่าเรือสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ลำเลียงเสบียงอาหารและสัมภาระอื่นๆ มายังเกาะอังกฤษ คาดหวังจะให้อังกฤษเกิดความขาดแคลนจนต้องยอมแพ้ นายกฯ วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ของอังกฤษได้เขียนในหนังสือประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง เล่มสอง ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1949 ระบุว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เขากลัวระหว่างสงครามคือภัยคุกคามจากเรืออู

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้จักเรืออูในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เยอรมนีมีการใช้งานเรืออูมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ช่วงแรกๆ เรืออูปฏิบัติการล่าเรือสินค้าแบบฉายเดี่ยว แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่ออังกฤษรวมเรือสินค้าหลายๆ ลำเข้าด้วยกันเป็นขบวนคอนวอย มีเรือรบคุ้มกัน ส่งผลให้เรืออูไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ตามลำพัง เยอรมนีจึงตัดสินใจจะใช้เรืออูหลายลำร่วมกันล่าเรือสินค้าในขบวนคอนวอย คล้ายฝูงหมาป่าหรือ Wolfpack (ภาษาเยอรมัน Rudeltaktik) ปัญหาคือในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมนีมีจำนวนเรืออูน้อยเกินไป ประกอบกับเทคโนโลยีการสื่อสารยังไม่ก้าวหน้าพอจะใช้ประสานงานเรือดำน้ำจำนวนมากในระยะไกลได้ ยุทธวิธีฝูงหมาป่าจึงไม่ได้รับการพัฒนาแบบเต็มประสิทธิภาพในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ต่อมาพลเรือเอกคาร์ล เดอนิทซ์ (Karl Doenitz) ซึ่งเคยเป็นกัปตันเรืออูสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองเรือดำน้ำเยอรมัน ยุทธวิธีฝูงหมาป่าจึงถูกนำมาพัฒนาอีกครั้ง โดยเขาเรียกยุทธวิธีของเขาในการสงครามเรือดำน้ำว่ารูเด็ลทัคทิค (Rudeltaktik) ซึ่งแปลว่า “ยุทธวิธีแห่งฝูงสัตว์” หลักการคือเรืออูของเยอรมันจะกระจายกำลังกันออกค้นหาขบวนคอนวอยเรือสินค้า เมื่อเรืออูลำหนึ่งพบคอนวอยแล้ว ก็จะติดตามและแจ้งพิกัดตำแหน่งของคอนวอยนั้นทางวิทยุไปยังกองบัญชาการ จากนั้นกองบัญชาการก็จะแจ้งไปยังเรืออูลำอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงมารวมตัวกันเตรียมโจมตีคอนวอยนั้นจากหลายทิศทาง เมื่อเรือทุกลำประจำตำแหน่งแล้ว เรืออูลำแรกก็จะเปิดฉากยิงตอร์ปิโดก่อน ล่อให้เรือรบที่คุ้มกันคอนวอยอยู่ออกค้นหาเรืออูลำดังกล่าว จากนั้นเรืออูลำที่สองก็จะเปิดฉากยิงตอร์ปิโดบ้าง จากนั้นก็ลำที่สาม สี่ห้า ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ (บางครั้งอาจมีเรืออูเข้าร่วมการโจมตีมากถึง 20 ลำ) ยุทธวิธีนี้ส่งผลให้กองเรืออูจมเรือสินค้าได้มากขึ้น รวมถึงสร้างความสับสนให้เรือรบที่คุ้มกันขบวนคอนวอยอยู่

อย่างไรก็ตามในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ยุทธวิธีฝูงหมาป่าก็ยังถูกใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพมากนัก เพราะสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เยอรมนีจะพัฒนากองทัพเรือหรือครีกสมารีเน่อ (Kriegsmarine) ได้ตามแผน เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ปี ค.ศ.1939 เยอรมนีมีเรืออูเพียง 57 ลำ ในจำนวนนี้มีเพียง 26 ลำที่ออกแบบมาสำหรับปฏิบัติการในมหาสมุทรเป็นระยะทางไกล นอกจากนี้ตอร์ปิโดของเยอรมันรุ่นแรกๆยังมีประสิทธิภาพไม่ดีด้วย ต้องรอเวลาถึงปี ค.ศ.1940 เมื่อเยอรมนีต่อเรือดำน้ำออกมาจำนวนมากขึ้น มีการพัฒนาตอร์ปิโดรุ่นใหม่ รวมถึงสามารถยึดครองฝรั่งเศส ได้ฐานทัพเรือหลายแห่งริมอ่าวบิสเคย์ เช่นที่เมืองแซงต์ นาแซร์ (Saint-Nazaire) เป็นฐานทัพหน้าในการส่งเรืออูออกปฏิบัติการในมหาสมุทรแอตแลนติกได้เต็มที่

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของยุทธวิธีฝูงหมาป่าเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1940 ช่วงคืนวันที่ 16 – 19 ตุลาคม ขบวนคอนวอยรหัส SC-7 ซึ่งประกอบด้วยเรือสินค้าจำนวน 34 ลำและเรือคุ้มกัน 5 ลำ ลำเลียงสินค้าจากแคนาดามายังอังกฤษ ถูกโจมตีโดยฝูงหมาป่าซึ่งประกอบด้วยเรืออูจำนวน 7 ลำ สามารถจมเรือสินค้าได้ถึง 20 ลำ ระวางขับน้ำรวมกันเกือบ 80,000 ตัน โดยที่เยอรมันไม่สูญเสียเรืออูแม้แต่ลำเดียว ต่อมาคืนวันที่ 19 ตุลาคม ขบวนคอนวอยรหัส HX-79 ซึ่งประกอบด้วยเรือสินค้าจำนวน 49 ลำและเรือคุ้มกัน 11 ลำ ก็ถูกโจมตีโดยฝูงหมาป่าประกอบด้วยเรืออู 5 ลำ จมเรือสินค้าได้อีก 14 ลำ โดยที่ไม่มีเรืออูถูกจมอีกเช่นกัน การที่มีเรือสินค้าถูกจมติดๆกันถึง 34 ลำ ส่งผลให้ทั้งสองเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่าคืนแห่งมีดยาว (Night of the Long Knives) ตามชื่อเหตุการณ์ที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) กวาดล้างแกนนำหน่วย Sturmabteilung หรือ SA เมื่อปี ค.ศ.1934 ในช่วงนี้กองทัพเรือเยอรมันตั้งใจจะใช้ปฏิบัติการของเรืออู กดดันอังกฤษร่วมกับการโจมตีของกองทัพอากาศหรือลุฟท์วัฟเฟอ (Luftwaffe) ใน Battle of Britain เนื่องจากเยอรมนีเชื่อว่าอังกฤษมีเรือรบไม่พอสำหรับคุ้มกันเรือสินค้าและป้องกันเกาะอังกฤษจากการยกพลขึ้นบกของเยอรมันในปฏิบัติการสิงโตทะเล (Operation Sea Lion) พร้อมกันได้ แต่เมื่อกองทัพอากาศเยอรมันไม่สามารถครองน่านฟ้าอังกฤษได้ ส่งผลให้ปฏิบัติการสิงโตทะเลถูกเลื่อนไม่มีกำหนด กองทัพเรือเยอรมันก็ถูกทิ้งให้รบกับอังกฤษต่อไปตามลำพัง ขณะที่ฮิตเลอร์หันความสนใจไปทางทิศตะวันออกแทน


สถานการณ์ของอังกฤษเริ่มดีขึ้นช่วงกลางปี ค.ศ.1941 จากการใช้เทคโนโลยีใหม่เช่นเรดาร์ เครื่องบินรบ ฯลฯ ในการปราบเรือดำน้ำ ประกอบกับในเดือนพฤษภาคม อังกฤษสามารถยึดเรืออู-110 พร้อมเครื่องถอดรหัสอีนิกม่า (Enigma) ส่งผลให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกองเรือดำน้ำเยอรมันได้ เยอรมนีเสียกัปตันเรือดำน้ำที่มีฝีมือหลายนายในช่วงเวลานี้เช่น กุนเธอร์ พรีน (Gunther Prien) กัปตันเรืออู-47,ออตโต เครชเมอร์ (Otto Kretschmer) กัปตันเรืออู- 99 ฯลฯ กองทัพเรือเยอรมันเตรียมถอดใจแล้ว จนกระทั่งสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในเดือนธันวาคม แม้การที่สหรัฐฯเข้าร่วมสงครามจะส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีจำนวนเรือสินค้าและเรือลำเลียงเพิ่มขึ้นมากก็ตาม แต่จำนวนเรือที่เพิ่มขึ้นมานี้ส่งผลให้เรือคุ้มกันต้องกระจายกำลังกันออก ประกอบกับลูกเรืออเมริกันขาดประสบการณ์ในการรับมือเรือดำน้ำ ส่งผลให้เรืออูได้เป้าหมายใหม่ กองเรือดำน้ำเยอรมันจึงเล็งเป้าหมายส่วนใหญ่ไปทางสหรัฐฯแทนในปี ค.ศ.1942 ตามตัวอย่างเหตุการณ์โจมตีขบวนคอนวอยรหัส ON 92 ซึ่งออกเดินทางจากเมืองลิเวอร์พูล ในอังกฤษ วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1942 มุ่งหน้าไปสหรัฐฯ คอนวอยนี้ประกอบด้วยเรือสินค้า 41 ลำและเรือคุ้มกัน 6 ลำ นอกจากจำนวนเรือคุ้มกันจะน้อยแล้ว ส่วนใหญ่ยังขาดอุปกรณ์ที่ทันสมัยสำหรับตรวจจับเรือดำน้ำด้วย

แม้ว่ายุทธวิธีฝูงหมาป่าจะพิสูจน์แล้วว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการขนส่งของพันธมิตร แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรก็พัฒนาวิธีการรับมือเพื่อเปลี่ยนการควบคุมเรืออูให้ต่อต้านตัวเอง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือความจริงที่ว่าฝูงหมาป่าต้องการการสื่อสารทางวิทยุที่กว้างขวางเพื่อประสานงานการโจมตี สิ่งนี้ทำให้เรืออูต้องเสี่ยงต่ออุปกรณ์ที่เรียกว่าตัวค้นหาทิศทางความถี่สูง (เอชเอฟ/ดีเอฟ หรือ “ฮัฟ-ดัฟ”) ซึ่งอำนวยให้กองกำลังพันธมิตรทำการตรวจสอบที่ตั้งของเรือข้าศึกที่ส่งสัญญาณและโจมตีพวกมัน นอกจากนี้ เครื่องบินคุ้มกันในอากาศที่มีประสิทธิภาพ ทั้งเครื่องบินระยะไกลพร้อมเรดาร์ และเรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน รวมถึงเรือเหาะ อำนวยให้เห็นเรืออูเป็นจุดในฐานะที่พวกมันประกบตัวคอนวอย (รอคอยการโจมตียามค่ำคืน)

เรืออูของเยอรมันเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวต่อขบวนคอนวอยเรือสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรไปจนถึงปี ค.ศ.1943


แหล่งอ้างอิง

  • https://militaryanddiplomacy.com
  • https://th.wikipedia.org

สมุททานุภาพ

⇧ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

Alfred Thayer Mahan

สมุททานุภาพ (Sea Power) เกิดจากแนวความคิดของ พลเรือตรี อัลเฟรด เธเยอร์ มาฮาน (Rear Admiral Alfred Thayer Mahan) ซึ่งถูกนำเสนอครั้งแรกผ่านหนังสือ The influence of Sea Power upon History 1660-1973 ซึ่งมาฮาน นั้น เป็นนักยุทธศาสตร์ทางเรือผู้มีชื่อเสียง โดยเขาได้ศึกษาและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทะเลของประเทศอังกฤษ สรุปเป็นทฤษฎีสมุททานุภาพ แล้วเปรียบเทียบกับขีดความสามารถของสหรัฐฯ ในการเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเล ด้วยปัจจัยสมุททานุภาพหลายๆ ปัจจัยซ ึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับของประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ความสำคัญของสมุททานุภาพ ถือหลักสำคัญว่า
มหาอำนาจทางทะเลจะเหนือกว่ามหาอำนาจทางบกในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ซึ่งในทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและถูกต้องจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ซึ่งประเทศ
ที่มีสมุททานุภาพที่เหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะสงครามในที่สุด หากพิจารณา ความหมายของ
สมุททานุภาพ อันเป็นผลจากการผสมคำระหว่าง สมุทร (ทะเล) กับ อานุภาพ (กำลังอำนาจ) ความหมายโดยรวมของสมุททานุภาพ มีบริบทเช่นเดียวกับที่มาฮานได้ลิขิตไว้ก็คือ “อำนาจ กำลังอำนาจ หรือ ศักยภาพของชาติ (หรือรัฐใด รัฐหนึ่ง) จากการใช้ทะเลให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ” จากผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 จึงพิสูจน์ได้ว่า ทฤษฎีและหลักการของสมุททานุภาพที่ได้กำเนิดขึ้นมากว่า 100 ปีแล้ว ก็ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้จนถึงปัจจุบัน เพราะทะเลยังคงเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญของโลก แม้ว่าปัจจุบันการขนส่งทางอากาศจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนการขนส่งทางทะเลได้ และทะเลก็ยังเป็นแหล่งอาหารกับแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ของมนุษย์ที่สำคัญ นอกจากนี้กำลังทางเรือก็ยังสามารถขยายอำนาจจากทะเลขึ้นสู่ฝั่ง (Power Projection Ashore) ได้คล้ายกับการขยายอำนาจของกำลังทางบก แต่ทั้งนี้ ทฤษฎีสมุททานุภาพ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่แน่นอน รัฐชายฝั่งจะต้องนำทฤษฏีมาประยุตก์ใช้ให้เหมาะสมกับรัฐของตนเองด้วย


องค์ประกอบของ สมุททานุภาพ (Components of Sea power) ได้แก่

  • นาวิกานุภาพ (Naval Power) หรือ กำลังรบทางเรือ มิได้มีเพียงเรือรบผิวน้ำ เช่น ในยุคของมาฮานเท่านั้น กำลังรบทางเรือหรือ นาวิกนุภาพในปัจจุบันประกอบด้วยเรือรบ ทั้งเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ อากาศนาวี และทหารนาวิกโยธิน
  • กองเรือสินค้า (Merchant Fleet) เครื่องมือสำคัญในการสร้างความเจริญให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศที่ไม่มีกองเรือสินค้าที่เข้มแข็ง ก็จะตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบทางการค้า และในยามสงครามพาณิชย์นาวีก็จะเป็นกำลังสำคัญอีกเช่นกันที่จะสนับสนุนนาวิกานุภาพและการปฏิบัติการทางทหาร
  • ฐานทัพและท่าเรือ (Naval Bases and Harbors) เป็นฐานที่มั่น ในการรับการส่งกำลังบำรุง (สำหรับกองเรือรบ) และขนถ่ายสินค้า (สำหรับเรือสินค้า)
  • อู่สร้างเรือ/ซ่อมเรือ (Shipyards/Dockyards) สำหรับเสริมสร้างและบำรุงรักษากองเรือสินค้าและกองเรือรบของประเทศ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งปวงที่ทำให้เรือมีความคงทนทะเล (Seaworthiness) และสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี
  • พาณิชย์การและการติดต่อระหว่างประเทศ (Commercial Establishments and Contacts) มีพาณิชย์นาวีที่เข้มแข็งยังไม่เพียงพอที่จะทำให้การค้าขายร่ำรวยและเจริญรุ่งเรืองได้ การค้าขายจึงจำเป็นต้องมีสถาบันทางพาณิชย์การหรือสถาบันการค้าที่จะกำหนดนโยบาย กำกับ ดูแลการค้าขาย และหาตลาดที่จะนำสินค้าไปขายหรือไปซื้อสินค้ากับประเทศต่างๆ
  • องค์บุคคล (Personnel) องค์บุคคลหรือคน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ๆ ทั้งหมด อาทิ คนเป็นผู้ใช้และบำรุงรักษาเรือทั้งเรือรบและเรือพาณิชย์ เรือประมง เป็นต้น คนเป็นผู้บริหารและดำเนินกิจการท่าเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งปวง คนเป็นผู้สร้างและซ่อมเรือ รวมทั้งคนเป็นผู้บริหารและดำเนินกิจการสถาบันการค้าต่างๆ ดังนั้นการที่จะได้องค์บุคคลที่ดีที่จะเป็นกำลังในการพัฒนาและการใช้สมุททานุภาพนั้น

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.dsdw2016.dsdw.go.th
  • นาวิกศาสตร์. พฤศจิกายน 2556

Fleet in Being

⇧ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

Admiral Arthur Herbert

กองเรือคงชีพ หรือ Fleet in Being เป็นการใช้กองเรือที่มีอำนาจและจำนวนน้อยกว่า เพื่่อปฏิบัติการในทะเล โดยการคือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับข้าศึกที่่เหนือกว่าเพื่อออมกําลังที่มีอยู่น้อยกว่า แต่ก็สามารถแสดงตนเป็นภัยคุกคามต่อกําลังทางเรือของข้าศึกได้ต่อไป ซึ่งจะมีผลทําให้ข้าศึกต้องยุ่งยากในการตกลงใจ

ผู้ที่คิดยุทธศาสตร์นี้คือ พลเรือเอก Arthur Herbert, 1st Earl of Torrington แม่ทัพเรือของอังกฤษในช่วงปี ค.ศ.1690 โดย Herbert เห็นว่า กองเรือฝรั่งเศสตอนนั้นมีความเข้มแข็งกว่ากองเรือของอังกฤษมาก จึงต้องการสงวนกองเรืออังกฤษไว้ที่ช่องแคบอังกฤษเพื่อเป็นการตรึงกองเรือฝรั่งเศสไม่ให้ครองทะเลเพื่อบุกเกาะอังกฤษได้ และเพื่อรอกำลังเสริม แต่ดูเหมือนรัฐบาลอังกฤษจะไม่เข้าใจยุทธวิธีของ Torrington เท่าไหร่ พวกเขาคิดว่า Torrington ขี้ขลาดไม่กล้ารบกับฝรั่งเศสตรงๆ และบังคับให้เขาออกรบ นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ต่อกองเรือฝรั่งเศสที่ Beachy Head ในปี ค.ศ.1690 ในเวลาต่อมา


การรักษากำลังตัวเองไว้เพื่อทำให้ข้าศึกที่อยู่ในพื้นที่อิทธิพลของฝ่ายเรารู้สึกพะว้าพะวง เพราะข้าศึกย่อมทราบดีว่าเรายังคงมีกองเรือที่พร้อมใช้งานอยู่ในมือ จะออกทะเลไปทำภารกิจที่อื่นต่อก็ไม่ได้เพราะอาจโดนกองเรือเราซุ่มโจมตี หรือถ้าจะสู้กับฝ่ายเรา เราก็ไม่ยอมออกมาสู้ด้วยสักที ทำได้เพียงตรึงกำลังต่อไป ซึ่งเหมือนเป็นเทคนิคในการเหนี่ยวรั้งข้าศึกไว้นั้นเอง ภัยคุกคามของกองเรือคงชีพสามารถป้องกันกำลังรบที่เหนือกว่าได้ โดยเบี่ยงเบนความสนใจหรือทำให้เกิดความกังวล ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการปฏิเสธการใช้ทะเลของข้าศึก (Sea Denial)

กองเรือคงชีพ ถูกใช้ในครั้งแรกในสมัย สงครามกรีก (Pelonponnesian War) เมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสตกาล โดยกองเรือของนครรัฐ Syracuse ใช้ยุทธศาสตร์กองเรือคงชีพในอ่าวทางใต้ของอิตาลี โดยไม่ยอมออกมาสู้กับกองเรือผู้รุกรานของนครรัฐเอเธนส์ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเลในขณะนั้น ทำให้กองเรือเอเธนส์ไม่สามารถครองทะเลและขยายขอบเขตการรบได้ เพราะไม่สามารถทำการส่งกำลังบำรุงทางทะเลได้ เนื่องจากต้องรอรับมือกองเรือของ Syracuse สุดท้ายนครรัฐสปาต้าร์ก็ได้เข้ามาแทรกแซงการรบทำให้ เอเธนส์พ่ายแพ้อย่างยับเยิน แต่แน่นอนว่าชาวกรีกไม่ใช่ผู้จำกัดความคำว่า Fleet-in-being เป็นครั้งแรก


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtnalibrary.com/
  • นาวิกศาสตร์ ฉบับ เม.ย. 2556
  • https://www.facebook.com/KODETAHARN

Crossing the T

⇧ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

กองเรือน้ำเงินแล่นตัดผ่าน
กองเรือแดง (crossing the T)

Crossing the T หรือ Capping the T เป็นยุทธวิธีการรบทางเรือแบบคลาสสิกที่ใช้ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยที่แนวเรือรบฝ่ายหนึ่งแล่นผ่านหน้าแนวเรือของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้เกิดความได้เปรียบในการใช้ปืนเรือ ปืนทั้งหมดของฝ่ายแรกจะโจมตีเรือลำหน้าขบวนของอีกฝ่าย โดยสามารถใช้ปืนจากด้านข้างของเรือที่แล่นตัดหน้าได้พร้อมกันหลายลำ แต่อีกฝ่ายจะใช้ปืนได้เฉพาะเรือลำหน้าและด้านหัวเรือเท่านั้น เมื่อเข้าสู่การรบ เรือจะแล่นตามกัน และโค้งเล็กน้อยตามแนวท้ายเรือ การเคลื่อนไปข้างหน้าแนวข้าศึกในแนวตั้งฉาก (หัวตัว T ) ทำให้เรือรบสามารถระดมยิงที่เป้าหมายเดียวกันได้ทั้งป้อมปืนด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มโอกาสในการโจมตีสูงสุด

ความได้เปรียบนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เรือเป็นแบบปืนด้านข้าง และทางหัวเรือจะมีเพียงกระบอกเดียวซึ่งจะยิงไปด้านหน้าเท่านั้น ยุทธวิธีนี้ล้าสมัยไปมากด้วยอาวุธปล่อยนำวิถี ขีปนาวุธ และเครื่องบิน เนื่องจากการโจมตีระยะไกลนั้นไม่ค่อยขึ้นอยู่กับทิศทางที่เรือกำลังเผชิญหน้า


การรบที่ใช้เแทคติกนี้ได้แก่

  • การรบที่ Tsushima (1905) ระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย
  • การรบที่ Elli (1912) ระหว่างกรีกกับตุรกี
  • การรบที่ Jutland (1916) ระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน
  • การรบที่แหลม Esperance (1942) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น
  • การรบที่ช่องแคบ Surigao (1944) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น

แหล่งอ้างอิง

  • https://hmong.in.th
  • https://en.wikipedia.org

เรือตรี สุดาพร สีสอนดี

⇑ บุคคลสำคัญ

สุดาพร สีสอนดี หรือ แต้ว เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2534 ที่อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี จบปริญญาตรีจากคณะศึกษาศาสตร์สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตสุโขทัย และกำลังศึกษาปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต เอก สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข ได้รับการบรรจุเป็น อาสาสมัครทหารพรานหญิง สังกัด หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เมื่อปี 2556 สังกัด กองร้อย ทหารพรานนาวิกโยธินที่ 524 ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน

สมัยเด็ก “แต้ว” ชกมวยไทยเลี้ยงชีพ และรับจ้างทำงานหาเงินตั้งแต่เรียน ป.4 เพื่อหาเงินช่วยครอบครัว โดยมีคุณพ่อ นายยอดนคร สีสอนดี (ปัจจุบันเสียชีวิต) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปลูกฝังเส้นทางนักมวยให้กับลูกสาว เนื่องจากสถานะทางบ้านไม่ค่อยดี คุณพ่อจึงให้ลูกสาวฝึกหัดชกมวยไทย โดยเป็นครูมวยเอง ใช้พื้นที่บริเวณบ้านเปิดค่ายมวย “สุดยอดการช่าง” ให้ลูกฝึกซ้อม หลังจากฝึกหัดไม่นาน แต้วขึ้นสังเวียนชกมวยครั้งแรก ในงานบุญบั้งไฟ ที่ อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี ใช้ชื่อมวยไทยว่า “น้องแต้ว สุดยอดการช่าง” เงินค่าตัวไฟต์แรก น้องแต้วได้รับ 500 บาท

แม้จะเป็นลูกสาวค่ายมวย แต่การขึ้นเวทีไม่ได้ง่าย แม้จะชกชนะ แต่ความเจ็บปวดในแต่ละครั้งก็ทำให้เธอถึงขั้นถอดใจอยากเลิกชก แต่ว่าทางบ้านยังคงประสบปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้เธอตัดสินใจเบนเข็มมาต่อยมวยสากลสมัครเล่นแทน เพื่อสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่น เมื่อตอนจบชั้น ม.2 เวลาผ่านไปไม่นาน แต้วก็มีชื่อติดทีมชาติไทยมวยสากลสมัครเล่นในวัย 16 ปี แต่เพราะเป็นตัวสำรองของรุ่นพี่ทำให้เธอไม่ค่อยมีโอกาสแสดงฝีมือ แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่ท้อ เพราะการชกมวยคือ ความหวังที่จะหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว ในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผล เมื่อเธอมีชื่อติดไปแข่งซีเกมส์ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2011 แล้วดาวรุ่งสาววัย 18 ปี ก็ไม่ทำให้ผิดหวังคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาครอง ต่อจากนั้นเธอไปซีเกมส์อีก 2 ครั้งและคว้ามาได้อีก 1 ทอง 1 เงิน


ช่วงที่ ฮวน ฟอนตาเนียล ยอดโค้ชชื่อดังชาวคิวบา กลับมาคุมทีมมวยสากลไทยคำรบที่ 2 นั้น ได้ปลุกปั้นยกระดับให้ สุดาพร สีสอนดี ประสบความสำเร็จไปคว้าเหรียญเงินเอเชี่ยนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในรุ่นไลต์เวทหญิง และในปีเดียวกัน ก็ได้ไปแข่งขันมวยสากลหญิงชิงแชมป์โลก ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และเธอกรุยทางเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ รุ่นไลต์เวทหญิง แต่ในรอบชิงชนะเลิศ เธอแผ่วปลายทำให้แพ้ให้กับ เคลลี่ แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ก้างขวางคอชิ้นสำคัญคนเดียวกันนี้เอง ทำให้สุดาพร ได้แค่รองแชมป์ ส่วนแฮร์ริงตัน คว้าแชมป์โลกไปในตอนนั้น

แม้ว่า สุดาพร ที่ไปโอลิมปิกสมัยแรกจะคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้ แต่ด้วยสไตล์การชก การยืนมวย ที่แข็งแกร่งเหมือนผู้ชาย มีการออกหมัดที่คม และดูแลเป็นอย่างดีจากสมาคมกีฬามวยสากลฯ ทำให้เชื่อว่าเส้นทางบนสังเวียนผืนผ้าใบของ สุดาพร สีสอนดี ในการสร้างความสุขให้กับคนไทยจะยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้

ผลงานที่สร้างชื่อที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการสำคัญ
– เหรียญทองแดง มวยสากลสมัครเล่นหญิง โอลิมปิก 2020
– เหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2554
– เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2556
– เหรียญเงิน มวยสากลสมัครเล่นหญิง เอเชี่ยนเกมส์ 2561
– เหรียญเงิน รุ่นไลท์เวต มวยสากลสมัครเล่นหญิง ชิงแชมป์โลก 2561
– เหรียญทอง มวยสากลสมัครเล่นหญิง ซีเกมส์ ปี 2562


แหล่งอ้างอิง

  • https://www.matichon.co.th

โจโฉแตกทัพเรือ

⇧ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

การทำศึกของทั้ง 3 ก๊ก (วุยก๊ก นำโดยโจโฉ จ๊กก๊ก นำโดยเล่าปี่ และ ง่อก๊ก นำโดยซุนกวน ) มีหลายครั้ง แต่ครั้งสำคัญที่มีกล่าวถึงถึงมาก น่าจะต้องยกให้ “ศึกผาแดง” หรือ “ศึกเซ็กเพ็ก” หรือคนเราไทยคุ้นเคยว่า “ตอนโจโฉแตกทัพเรือ” เพราะเป็นศึกใหญ่ที่มีข้อคิดเห็นว่า นี้คือ จุดเริ่มของยุคสามก๊กในเวลาต่อมา เพราะเป็นศึกใหญ่ที่แสดงความรู้ ความสามารถทางตัวละครทั้ง “ขงเบ้ง” และ “จิวยี่”

เหตุการณ์เกิดขึ้น ในฤดูร้อน ปี ค.ศ. 208 ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก โจโฉ สมุหนายกผู้พิชิตภาคเหนือและเมืองหลวง ได้อ้างโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ยกพลกว่า 800,000 นาย และกองเรือกว่า 2,000 ลำ ลงสู่ภาคใต้ เพื่อปราบซุนกวนและเล่าปี่ เพื่อหวังยึดครองดินแดนของทั้งสอง โจโฉได้นำกำลังพลเข้าพิชิตเล่าปี่ได้อย่างง่ายดาย ทำให้เล่าปี่ต้องอพยพราษฎรออกจากเมืองซินเอี๋ย โจโฉได้นำทัพบุกโจมตีขบวนอพยพของเล่าปี่ แต่กวนอูและเตียวหุย น้องร่วมสาบานของเล่าปี่ ได้นำทัพมาป้องกันระวังหลังไว้ได้ ส่วนจูล่ง ขุนพลอีกคนของเล่าปี่ ก็ได้ขี่ม้าไปช่วยเหลือครอบครัวของเล่าปี่ที่ตกอยู่ในวงล้อมของโจโฉ ถึงแม้จะช่วยภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ไม่ได้ แต่จูล่งก็ช่วยทารก ซึ่งเป็นบุตรชายของเล่าปี่กลับมาหาเล่าปี่ได้สำเร็จ


หลังจากการพ่ายศึก เล่าปี่ได้ส่งขงเบ้งไปเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับซุนกวนแห่งง่อก๊ก เพื่อร่วมมือกันต่อต้านโจโฉ แต่ซุนกวนยังสองจิตสองใจว่าจะร่วมสู้หรือสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ เนื่องด้วยคณะที่ปรึกษา ซึ่งนำโดยเตียวเจียวได้เสนอให้สวามิภักดิ์ต่อโจโฉ ขณะที่คณะขุนศึกนำโดยเทียเภาได้เสนอให้ร่วมมือกับเล่าปี่ต่อสู้กับโจโฉ แต่ด้วยความเห็นของขงเบ้ง และกุศโลบายการโน้มน้าวอย่างแยบคายของจิวยี่แม่ทัพใหญ่แห่งง่อก๊ก ซุนกวนจึงตัดสินใจประกาศสงครามกับโจโฉ โดยแต่งตั้งให้จิวยี่เป็นแม่ทัพในการสงคราม ขณะเดียวกัน ชัวมอและเตียวอุ๋นแห่งเกงจิ๋วได้มาสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ ต่อมาโจโฉตั้งให้ทั้งสองคนเป็นแม่ทัพเรือ

หลังจากนั้นได้ไม่นาน กองทัพโจโฉ ที่นำโดยแฮหัวเอี๋ยนได้นำกองทัพม้าไปโจมตีกองทัพพันธมิตรของเล่าปี่และซุนกวน แต่ก็ถูกกลศึกโดยปิดล้อมในกระบวนทัพที่ฝ่ายพันธมิตรได้วางแผนเอาไว้แล้วร่วมกัน แฮหัวเอี๋ยนพ่ายศึก แต่จิวยี่ได้ปล่อยตัวแฮหัวเอี๋ยนกลับทัพโจโฉไป ฝ่ายโจโฉก็นำทัพเรือมาตั้งไว้ที่ริมฝั่งตรงข้ามกับผาแดงอันเป็นที่ตั้งค่ายของจิวยี่ รอเวลาเปิดศึกต่อไป

ซุนซ่างเซียง น้องสาวของซุนกวน ได้ลอบเข้าไปสอดแนมในกองทัพของโจโฉ โดยในขณะนั้น ได้เกิดโรคระบาดในกองทัพของโจโฉ โจโฉจึงได้วางแผนส่งศพทหารไปยังง่อก๊ก เพื่อให้เกิดระบาดในกองทัพพันธมิตร แต่จิวยี่และขงเบ้งได้ควบคุมโรคระบาดไว้ได้ทันกาล แต่จากการเกิดโรคระบาด ทำให้เล่าปี่กลับถอนตัวออกจากกองทัพ ส่วนขงเบ้งยังอยู่ในง่อก๊กต่อไป ฝ่ายกองทัพของโจโฉ ชัวมอและเตียวอุ๋นได้เสนอการโยงเรือติดกันเพื่อแก้ปัญหาการเมาเรือของทหารโจโฉที่ไม่คุ้นชินการรบทางน้ำ เนื่องจากกำลังพลมาจากทางเหนือไม่คุ้นชินกับการลงเรือ

แผนที่ ศึกผาแดง

ต่อมา จิวยี่และขงเบ้งได้ร่วมกันวางแผนอันแยบคายในการบั่นทอนกำลังของกองทัพโจโฉ โดยขงเบ้งได้นำกองเรือที่บรรทุกหุ่นฟางมาเต็มลำ ไปหลอกให้ฝ่ายโจโฉยิงเกาทัณฑ์ใส่ในขณะที่หมอกลงจัด ทำให้ได้เกาทัณฑ์มาถึงแสนกว่าดอก ฝ่ายจิวยี่ เมื่อโจโฉส่งเจียวก้านมาเพื่อเกลี้ยกล่อมจิวยี่ จิวยี่ได้แสร้งให้เจียวก้านลักจดหมายสวามิภักดิ์ของชัวมอและเตียวอุ๋นที่จิวยี่ปลอมแปลงขึ้น เมื่อโจโฉได้อ่านจดหมายนั้น ประกอบกับการที่ชัวมอและเตียวอุ๋นได้ยิงเกาทัณฑ์แสนดอกให้ฝ่ายง่อก๊ก ทำให้โจโฉสั่งประหารชัวมอและเตียวอุ๋น

ซุนซ่างเซียงได้เดินทางกลับจากการสอดแนมแล้วนำแผนที่ค่ายโจโฉนำมาเสนอ จิวยี่และขงเบ้งวางแผนที่จะเผากองทัพเรือของโจโฉ ฝ่ายเสียวเกี้ยว ภรรยาของจิวยี่ได้เดินทางไปหาโจโฉเพื่อถ่วงเวลาโจโฉ เพื่อให้แผนการของจิวยี่สัมฤทธิ์ผล สงครามได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อลมตะวันออกเฉียงใต้ได้พัดมา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกองทัพง่อก๊กในการเผาทัพเรือของโจโฉ จิวยี่ได้ส่งเรือไฟไปเผาทัพเรือที่โยงติดกันของโจโฉจนวอดวาย ในขณะเดียวกัน เล่าปี่ได้กลับมาร่วมในการโจมตีโจโฉอีกแรง (แท้จริงแล้วเป็นกลลวงซ้อนระหว่างจิวยี่,ซุนกวนและเล่าปี่ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้โจโฉเกิดความชะล่าใจว่า แผนแพร่โรคระบาดของตนเองสำเร็จ) โจโฉได้ถอยกลับมาที่ค่าย กองทัพพันธมิตรได้นำทัพไปตีค่ายของโจโฉ และสามารถชิงตัวเสียวเกี้ยวคืนกลับมาได้ จิวยี่ได้ปล่อยโจโฉกลับไป กองทัพพันธมิตรเล่าปี่และซุนกวนได้รับชัยชนะในที่สุด


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org
  • https://www.silpa-mag.com

Copyright © 2025 Seafarer Library

Theme by Anders NorenUp ↑