กองเรือคงชีพ หรือ Fleet in Being เป็นการใช้กองเรือที่มีอำนาจและจำนวนน้อยกว่า เพื่่อปฏิบัติการในทะเล โดยการคือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับข้าศึกที่่เหนือกว่าเพื่อออมกําลังที่มีอยู่น้อยกว่า แต่ก็สามารถแสดงตนเป็นภัยคุกคามต่อกําลังทางเรือของข้าศึกได้ต่อไป ซึ่งจะมีผลทําให้ข้าศึกต้องยุ่งยากในการตกลงใจ
ผู้ที่คิดยุทธศาสตร์นี้คือ พลเรือเอก Arthur Herbert, 1st Earl of Torrington แม่ทัพเรือของอังกฤษในช่วงปี ค.ศ.1690 โดย Herbert เห็นว่า กองเรือฝรั่งเศสตอนนั้นมีความเข้มแข็งกว่ากองเรือของอังกฤษมาก จึงต้องการสงวนกองเรืออังกฤษไว้ที่ช่องแคบอังกฤษเพื่อเป็นการตรึงกองเรือฝรั่งเศสไม่ให้ครองทะเลเพื่อบุกเกาะอังกฤษได้ และเพื่อรอกำลังเสริม แต่ดูเหมือนรัฐบาลอังกฤษจะไม่เข้าใจยุทธวิธีของ Torrington เท่าไหร่ พวกเขาคิดว่า Torrington ขี้ขลาดไม่กล้ารบกับฝรั่งเศสตรงๆ และบังคับให้เขาออกรบ นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ต่อกองเรือฝรั่งเศสที่ Beachy Head ในปี ค.ศ.1690 ในเวลาต่อมา
กองเรือน้ำเงินแล่นตัดผ่าน กองเรือแดง (crossing the T)
Crossing the T หรือ Capping the T เป็นยุทธวิธีการรบทางเรือแบบคลาสสิกที่ใช้ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยที่แนวเรือรบฝ่ายหนึ่งแล่นผ่านหน้าแนวเรือของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้เกิดความได้เปรียบในการใช้ปืนเรือ ปืนทั้งหมดของฝ่ายแรกจะโจมตีเรือลำหน้าขบวนของอีกฝ่าย โดยสามารถใช้ปืนจากด้านข้างของเรือที่แล่นตัดหน้าได้พร้อมกันหลายลำ แต่อีกฝ่ายจะใช้ปืนได้เฉพาะเรือลำหน้าและด้านหัวเรือเท่านั้น เมื่อเข้าสู่การรบ เรือจะแล่นตามกัน และโค้งเล็กน้อยตามแนวท้ายเรือ การเคลื่อนไปข้างหน้าแนวข้าศึกในแนวตั้งฉาก (หัวตัว T ) ทำให้เรือรบสามารถระดมยิงที่เป้าหมายเดียวกันได้ทั้งป้อมปืนด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มโอกาสในการโจมตีสูงสุด