Category: Uncategorized

เรือหลวงประแส(ลำที่ 2)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงประแสเป็นเรือ ประเภท เรือฟริเกต ชื่อเดิม USS.GALLUP (PF-47) สัญญาณสากล “HSXX” เป็นเรือในชั้น Tacoma CLASS สร้างที่บริษัท CONSOLIDATEC STELL CORPORATION ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มประจำการใน ทร.สหรัฐช่วง พ.ศ. 2487-2488 และ พ.ศ. 2493-2494 และ ส่งให้ ทร.รัฐเซีย ใช้โดยให้ชื่อว่า EK-22 ใช้ช่วง พ.ศ. 2488-2492 ก่อนที่จะขายให้ ทร.ไทย ซึ่งเรือหลวงประแสนั้นเป็นเรือที่จัดหามาหลังจากเรือหลวงประแสลำที่ 1 ประสบเคราะห์กรรมจากสงคราม เกยตื้นที่ชายฝั่งประเทศเกาหลีเหนือ ในสงครามคาบสมุทรเกาหลี ที่ประเทศไทยส่งกองกำลังไปช่วยรบในนามกองกำลังสหประชาติ เรือหลวงประแส ลำที่ 2 จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ในปี พ.ศ.2494 ซึ่งรัฐบาลไทยในยุคนั้นได้ติดต่อขอซื้อมาจากสหรัฐอเมริกา หลังจากเรือหลวงประแส (ลำที่ 2) เข้าประจำการในกองทัพเรือ เรือลำดังกล่าวได้รับหน้าที่ปฏิบัติการมาแล้วหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติการรบในคราบสมุทรเกาหลีต่อจากเรือหลวงประแสลำที่หนึ่ง รวมถึงปฏิบัติการทางทะเลที่ญี่ปุ่น ปฏิบัติการคุ้มกันเรือบรรทุกน้ำมัน และรักษาอาณาเขต ดินแดนอธิปไตยของประเทศ ด้วยการแล่นลาดตระเวนไปทั่วอ่าวไทย จนกระทั้งในปี พ.ศ.2537 เรือหลวงประแสที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้ตัวเรือมีสภาพเก่าทรุดโทรมไม่คุ้มกับการซ่อม ทางกองทัพเรือจึงได้ทำการปลดประจำการ เรือหลวงประแส และใช้ในการฝึกภาคทางเรือของนักเรียนนายเรือแทน หลังจากนั้นไม่นาน เทศบาลตำบลปากน้ำประแสได้เสนอโครงการก่อสร้างอนุสรณ์เรือหลวงประแส ขึ้นเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ นับแต่นั้นมาเรือรบดังกล่าวจึงถูกเคลื่อนย้ายมาตั้งอยู่ในบริเวณปากน้ำประแสจนถึงปัจจุบัน


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 412
    • วางกระดูกงู 18 ส.ค. 2486
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 17 ก.ย. 2486
    • สร้างเสร็จ 29 ก.พ. 2487
    • ขึ้นระวางประจำการ 29 ต.ค. 2494
    • ปลดประจำการ 22 มิ.ย. 2543
    • ตัวเรือสร้างด้วย เหล็ก mild steel
    • ผู้สร้าง อู่ คอนโซลิเดทเต็ด สตีล เมืองวิลมิงตัน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 92.80 เมตร
    • ความกว้าง 11.40 เมตร
    • กินน้ำลึก หัว 2.74 เมตร ท้าย 3.05 เมตร
    • ระวางขับน้ำ ปกติ 1,430 ตัน สูงสุด 2,277 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 15 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 20.30 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 7,383 ไมล์ ที่ 15 นอต
    • กำลังพลประจำเรือ 216 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 76/50 มม. จำนวน 3 กระบอก
    • ปืนกล 20 ม.ม. จำนวน 9 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. จำนวน 2 กระบอก
    • เครื่องยิงอาวุธทางหัว (เฮจฮอก) แบบ MK 11 MOD
    • ท่อยิงโฮมมิ่งตอร์ปิโด SURFACE LIESSEL MK.32 MOD.0 จำนวน 2 ท่อ
    • แท่นยิงระเบิดลึกแบบ MK.6 MOD – 1 จำนวน 8 แท่น
    • เครื่องทำเสียง NIOSE MAKER S MARK 6
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรไอน้ำแบบข้อเสือข้อต่อ ชนิด ไอ ตัว 3 ครั้ง 4 สูบ สร้างโดย JOSHUA HENDY IRON WORKS จำนวน 2 เครื่อง
    • เครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดกังหันไอน้ำ ของ WISTING HOUSE จำนวน 2 เครื่อง
    • ใบจักร จำนวน 2 เพลาใบจักร
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • https://en.wikipedia.org
  • https://www.thairath.co.th

เรือหลวงประแส(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงประแส เป็นเรือคอร์เวต ชั้น Flower ของราชนาวีอังกฤษ เดิมชื่อ HMS Betony (K274) สั่งต่อเมื่อ 8 ธ.ค. 2484 ขึ้นระวางประจำการ เมื่อ ส.ค. 2488 ได้ถูกส่งมอบโดยทันที ให้ ทร.อินเดีย โดยใช้ชื่อว่า HMIS Sind และได้ถูกส่งมอบกลับให้ ทร.อังกฤษใน พ.ค. 2489 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และได้ขายต่อให้ ทร.ไทย ในปี พ.ศ. 2490 และใช้ชื่อว่า ร.ล.ประแส

ร.ล.ประแสเดินทางไปเกาหลีพร้อมด้วย ร.ล.บางปะกง และ ร.ล.สีชัง ซึ่งเป็นเรือลำเลียง พร้อมกับมีเรือสินค้าเฮอร์ตาเมอร์สค์ ที่เช่ามาขนทหารร่วมขบวนไปด้วย และเข้าประจำการกับกองเรือสหประชาชาติอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2493 เป็นต้นมา ภารกิจแรกที่ ร.ล.ประแส และ ร.ล.บางปะกง ได้รับมอบหมายก็คือ ให้ป้องกันการลักลอบเข้าโจมตีอ่าวซาเซโบ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฐานทัพเรือของสหประชาชาติ ร.ล.ประแส ได้เริ่มปฏิบัติงานเป็นครั้งแรกในวันที่ 4 ธ.ค. โดยออกตรวจการณ์และรักษาบริเวณช่องทางเข้าฐานทัพเรือซาเซโบตลอดเวลาเช้า ผลัดเปลี่ยนกับเรือบางปะกง และสิ้นสุดภารกิจนี้ในวันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันสุดท้าย ภารกิจต่อมาของ ร.ล.ประแส และ ร.ล.บางปะกงก็คือ ในวันที่ 3 ม.ค. 2494 ได้รับมอบหมายให้ไประดมยิงชายฝั่งตะวันออก ของเกาหลีเหนือที่บริเวณเส้นละติจูดที่ 38-39 องศาเหนือ ระหว่างชายฝั่งเมืองซังจอนกับเมืองยังยัง โดยมีเรือพิฆาตยูเอสเอส อิงลิช ของสหรัฐร่วมปฏิบัติการณ์ด้วย วันที่ 8 เรือพิฆาตยูเอสเอส อิงลิช ซึ่งเป็นเรือคุมขบวน ได้แยกจากขบวนไปปฏิบัติภารกิจอื่น นัดหมายให้ ร.ล.ประแส และ ร.ล.บางปะกงตามไปพบในเช้าวันรุ่งขึ้น ร.ล.ประแส และ ร.ล.บางปะกงจึงแล่นตามกันไป ระหว่างที่ฝ่าคลื่นลมและพายุหิมะหนัก ไปตลอดคืน กำลังแรงของพายุทำให้ ร.ล.ประแสเซผิดทิศทาง ความเร็วของเรือก็ตกลงมากเนื่องจากต้านลม เช้าวันที่ 7 มกราคม เวลา 7.30 น. ร.ล.ประแสซึ่งเป็นเรือนำ เซไปเซมาจนท้องเรือเกยครืดเข้ากับพื้นทราย หยุดนิ่ง ต้นเรือจึงสั่งถอยหลังเต็มตัว แต่ก็ไม่อาจทำให้เรือเขยื้อนได้ สภาพเรือเกยตื้นทำมุม 60 องศา จากฝั่งซึ่งอยู่ห่างเพียง 50 เมตรเท่านั้น บริเวณนั้นคือแหลมคิซามุน เหนือเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ประมาณ 16 กิโลเมตร อยู่ในเขตแดนของข้าศึก ร.ล.บางปะกงตามมาถึง ร.ล.ประแส จึงส่งสัญญาณให้ทราบว่าเกยตื้นอยู่ ร.ล.บางปะกงพยายามจะเข้ามาใกล้ที่สุด แต่ยังไม่สามารถช่วยได้ กองทัพเรือสหรัฐได้รีบส่งเรือลากจูงมาด่วน โดยส่งเชือกนำมีทุ่นลอยไป แต่ก็ไม่สำเร็จ ระหว่างนั้น ร.ล.บางปะกงและเรือรบสหรัฐประมาณ 10 ลำ ก็มาช่วยคุ้มกัน ยิงไปบนฝั่งตลอดเวลาไม่ให้ข้าศึกมารบกวน เช้าวันรุ่งขึ้น เรือลากจูงพยายามส่งเชือกให้ ร.ล.ประแสอีกครั้ง แม้จะใช้ทั้งแรงคนและเครื่องกว้านสมอก็ไม่สามารถดึงเชือกซึ่งเส้นใหญ่ขึ้นไปได้ ทหารบอบช้ำกันมาก เพราะต้องยืนแช่น้ำในขณะที่อากาศหนาวเย็น ทั้งพายุหิมะก็ไม่ได้เบาบางลง เจ้าหน้าที่สหรัฐจึงส่ง เรือโทฮาโรลด์ฮาร์ดิง เจ้าหน้าที่จากเรือลากจูงและพนักงานวิทยุอีก 1 คนไปช่วยบน ร.ล.ประแส แต่ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังส่งเรือโทฮาร์ดิงหย่อนตัวลง บนสะพานเดินเรือ ใบพัดไปฟันเอากิ่งของเสากระโดงเรือที่สำหรับผูกสัญญาณขาด เฮลิคอปเตอร์ตกลงบนสะพานเดินเรือเกิดไฟลุกไหม้ กระสุนปืนกลขนาด 20 มม. ในหีบบนสะพานเรือที่เตรียมไว้ยิง ถูกความร้อนก็ระเบิด สร้างความเสียหายแก่เรือมาก แต่ก็สามารถดับเพลิงได้ภายใน 30 นาที เจ้าหน้าที่สหรัฐบาดเจ็บไม่สาหัส แต่ จ่าโทผวน พรสยม จมน้ำเสียชีวิตไปอีกรายขณะไฟไหม้ ทหารสหรัฐส่งหน่วยกู้ภัย มาช่วยลำเลียงทหารที่อิดโรยออกจาก ร.ล.ประแส แต่สถานการณ์กลับเลวลงอีก ในตอนดึกที่น้ำขึ้น ร.ล.ประแสพยายามเดินเครื่องถอยหลังอีก แต่คลื่นแรงทำให้ท้ายเรือปัดขนานเข้ากับฝั่ง น้ำเค็มเข้าปนกับน้ำมันทำให้เครื่องจักรดับ ถังน้ำจืดก็รั่วน้ำเค็มเข้าไปปน เป็นอันว่าไม่มีทั้งน้ำดื่ม แสงสว่าง และเครื่องทำความอบอุ่น ขณะเดียวกันก็เห็นทหารเกาหลีเหนือปรากฏตัวขึ้นที่ชายฝั่ง และพยายามลุยมาที่ ร.ล.ประแส ทหารที่ทำหน้าที่ยามรักษาการณ์จึงต้องยิงขับไล่และระวังอย่างหนักไม่ให้เข้ามาใกล้ ความพยายามที่จะกู้ ร.ล.ประแสดำเนินอยู่หลายวันท่ามกลางอากาศอันเลวร้าย จนถึงวันที่ 12 มกราคม แพทย์ทหารสหรัฐยศนาวาโท ประจำเรือลาดตระเวนยูเอสเอส แมนเชสเตอร์ ไปตรวจสภาพลูกเรือ ร.ล.ประแสทางเฮลิคอปเตอร์ และลงความเห็นว่าทหารจะอยู่ในเรือสภาพนี้ต่อไปอีกไม่ได้ เป็นอันขาด จึงรายงานผู้บังคับการเรือพิฆาตยูเอสเอส อิงลิช และสั่งเริ่มลำเลียงทหารจาก ร.ล.ประแสไปที่เรือลาดตระเวนยูเอสเอส แมนเชสเตอร์ การลำเลียงดำเนินไปจนถึง 15 น. ของวันที่ 13 มกราคม ผู้บังคับการ ร.ล.ประแส จึงได้รับคำสั่งจากกองทัพเรือให้สละเรือ พร้อมกันนั้นกองบัญชาการสหประชาชาติที่กรุงโตเกียวได้มีคำสั่งให้กองเรือเฉพาะกิจทำลาย ร.ล.ประแส นาวาโทหม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ ผู้บังคับการเรือ ได้อำนวยการให้ต้นหนและต้นปืนทำลายสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์แก่ข้าศึก ราดน้ำมันและวางดินปืนในที่ต่างๆ แล้วออกจากเรือเป็นคนสุดท้าย ต่อจากนั้น เรือพิฆาตยูเอสเอส อิงลิชได้ระดมยิง ร.ล.ประแส เป็นจำนวน 50 นัดเศษ จนกระทั่งกลายเป็นเศษเหล็ก หมู่เรือคุ้มกันและช่วยเหลือจึงเดินทางกลับฐานทัพที่ซาเซโบ รวมเวลาที่พยายามกู้ ร.ล.ประแสถึง 7 วัน มีทหารจาก ร.ล.ประแส และ ร.ล.บางปะกงป่วย และบาดเจ็บ 27 คน ตาย 2 คน คือ จ่าโทชั้น เมืองอ่ำ และจ่าโทผวน พรสยม ซึ่งภายหลังได้รับการปูนบำเหน็จเป็นพันจ่าตรี


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • วางกระดูกงู 26 ส.ค. 2485
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 22 เม.ย. 2486
    • ชื่อเดิม HMS Betony ของ ทร.อังกฤษ
    • ชื่อเดิม HMIS Sind ของ ทร.อินเดีย
    • ขึ้นระวางประจำการ ทร.ไทย พ.ศ. 2490
    • ปลดประจำการ 7 ม.ค. 2594
    • ผู้สร้าง บริษัท Alexander Hall and Sons ประเทศอังกฤษ
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 63.40 เมตร
    • ความกว้าง 10.06 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.35 เมตร
    • ระวางขับน้ำ ปกติ 1,031 ตัน เต็มที่ 1,137 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 16 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ ที่ 12 นอต
    • กำลังพลประจำเรือ 90 นาย
  • ระบบตรวจจับ
    • เรดาร์ Type 271 SW2C
    • โซนาร์ Type 144
  • ระบบอาวุธ
    • ปินใหญ่ 4 นิ้ว (102 มม.) BL Mk.IX แท่นเดี่ยว 1 กระบอก
    • ปืนต่อสู้อากาศยาน Mk.VIII single “pom-pom” 2 ท่อยิง จำนวน 1 ชุด
    • ปืนกล 20 มม Oerlikon แท่นเดี่ยว จำนวน 2 กระบอก
    • แท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำแบบ Hedgehog จำนวน 1 แท่นยิง
    • เครื่องยิงระเบิดลึก Mk.II depth charge จำนวน 4 แท่นยิง
    • รางปล่อยลูกระเบิดน้ำลึก 2 ราง พร้อมลูกระเบิดน้ำลึก 70 ลูก
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • ระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์กังหันไอน้ำ 1 เครื่องยนต์ ให้กำลังขับเคลื่อน 2,750 แรงม้า
    • ใบจักร จำนวน 1 เพลาใบจักร
HMS Betony (K274)
เรือประแส ขณะที่เกยตื้นชายฝั่งเกาหลีเหนือ

แหล่งอ้างอิง

  • https://en.wikipedia.org
  • https://www.tapatalk.com
  • http://www.manager.co.th

เรือหลวงตากสิน(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมาของโครงการ

เรือหลวงตากสิน(ลำที่ 1) จัดเป็นเรือลาดตระเวนเบา เป็นเรือในชุด Etna class cruiser จัดหามา ตามแผนของกองทัพเรือในสมัยรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ที่มีโครงการตามพระราชบัญญัติบำรุงกองทัพสยาม พ.ศ. 2478 ซึ่งได้มีการเตรียมจัดหาเรือลาดตระเวนเบาจำนวน 2 ลำ โดยว่าจ้างบริษัทในอิตาลี ราคา 1,207,720 ปอนด์ เเยกเป็นราคาของอาวุธอีก 278,400 ปอนด์ ทั้งนี้เราสั่งต่อเรือลาดตระเวนเบาทั้ง 2 ลำจากอู่ต่อเรือเเคนเทียรี่ รูนนิติ เเดล’อาเดรียอาติโก ในเมืองตริเอสเต และได้รับพระราชทานชื่อว่า รล.ตากสิน และ รล.นเรศวร โดย รล.ตากสิน ทั้ง 2 ลำ ไม่ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย ทั้งที่ได้มีการเตรียมกำลังพลเพื่อรอรับเรือแล้ว เนื่องจาก อิตาลีเกณฑ์เอาเรือทั้งสองลำนี้ไปใช้ในสงคราม โดยตั้งชื่อใหม่และอยู่ในหมู่เรือลาดตระเวนเบาชุดภูเขาไฟ คือ “เอทน่า” กับ “วิซูเวียต” ซึ่งประวัติในกองทัพเรือเรานั้น มีเพียงประวัติสั้นๆอยู่ว่า “เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น การสร้างเรือก็ดำเนินไปอย่างล่าช้าก็เพราะ ขาดแคลนวัสดุและการส่งอาวุธประจำเรือ รวมไปถึงปืนใหญ่หลักของเรือขนาด 5.3 นิ้ว ที่ทั้ง 3 ป้อม ก็เป็นเเบบ โบฟอร์ส ของสวีเดนที่รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามด้วย เพราะถูกเยอรมันบุก จนเกือบจะถูกยึดครอง” ซึ่งทางเราคงทราบดีแล้วว่า ทางอิตาลีนั้นได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ก็คือฝ่ายนาซีเยอรมัน และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปเองก็รบกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่เยอรมันบุกเข้าโปแลนด์ ถึงแม้ว่าไทยจะร่วมรบกับญี่ปุ่นที่ถือว่า เป็นฝ่ายอักษะร่วมกันกับอิตาลีหลังเดือนมกราคม พ.ศ. 2485 จนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเเบบ บี-24 ลิเบอร์เรเตอร์ เข้าทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯ หลังจากญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เเล้วก็ตาม เเต่เมื่อเข้าสถานการณ์คับขันฝ่ายอักษะด้วยกันเองก็ต้องต่างฝ่ายต่างก็ต้องเอาตัวรอดกันทั้งนั้น เรือรบทั้ง 2 ลำ จึงได้ถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบ โดยภายหลังจากอิตาลี ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 เรือทั้ง 2 ลำที่สร้างเสร็จไปกว่า 53% ก็ถูกระเบิดทำลายโดยฝ่ายสัมพันธมิตรจนอับปางลงในสภาพนั่งแท่นเกือบจมน้ำ ก่อนที่ฝ่ายเยอรมัน จะเข้าครอบครองเรือทั้ง 2 หลังจากนั้นทางฝ่ายเยอรมันก็มีความพยายามที่จะซ่อมเเซมเรือทั้ง 2 ลำเเต่ก็ถูกยกเลิกไป จนกระทั่งได้มีการกู้ตัวเรือขึ้นมาเพื่อทำลายในภายหลัง ณ บริเวณอ่าวของเมืองตริเอสเต ที่ทำให้เรือทั้ง 2 ลำ ไม่มีโอกาสมารับใช้ประเทศไทย ซึ่งในเวลาต่อมาทางอิตาลีได้จ่ายเงินชดเชยค่าต่อเรือลาดตระเวนเบาทั้ง 2 ลำคืนให้เเก่ไทยเป็นจำนวน 601,360 ปอนด์


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • วางกระดูกงู 23 ก.ย. 2482
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 28 พ.ค. 2485
    • สถานะ ถูกทำลายขณะกำลังต่อ
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรือเเคนเทียรี่ รูนนิติ เเดล’อาเดรียอาติโก ในเมืองตริเอสเต ประเทศอิตาลี
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 153.80 เมตร
    • ความกว้าง 14.47 เมตร
    • กินน้ำลึก 5.95 เมตร
    • ความเร็วสูงสุด 28 นอต
    • ระวางขับน้ำปกติ 5,900 ตัน
    • ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,000 ตัน
    • กำลังพลประจำเรือ 580 นาย
    • อากาศยาน เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเล 2 เครื่อง
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนใหญ่ขนาด 135 มม.(5.3 นิ้ว)/45 คาลิเบอร์ เเบบเเท่นคู่ 3 เเท่น
    • ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 65 มม.(2.6นิ้ว) เเบบเเท่นเดี่ยว 10 กระบอก
    • ปืนกลขนาด 20 มม.(0.79นิ้ว) เเบบเเท่นเดี่ยวอีก 20 กระบอก
    • ตอร์ปิโดขนาด 18 นิ้ว เเบบเเฝด 3 จำนวน 2 เเท่น
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องยนต์ กังหันไอน้ำ 3 หม้อน้ำ 40,000 แรงม้า
    • ใบจักร 2 เพลา
ภาพลายเส้นชุดเรือหลวงนเรศวร

แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/warshipthai
  • https://en.wikipedia.org
  • http://thaimilitary.blogspot.com

เรือหลวงนเรศวร(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมาของโครงการ

เรือหลวงนเรศวร(ลำที่ 1) จัดเป็นเรือลาดตระเวนเบา เป็นเรือในชุด Etna class cruiser มีที่มา ตามแผนของกองทัพเรือในสมัยรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ที่มีโครงการตามพระราชบัญญัติบำรุงกองทัพสยาม พ.ศ. 2478 ซึ่งได้มีการเตรียมจัดหาเรือลาดตระเวนเบาจำนวน 2 ลำ โดยว่าจ้างบริษัทในอิตาลี ราคา 1,207,720 ปอนด์ เเยกเป็นราคาของอาวุธอีก 278,400 ปอนด์ ทั้งนี้เราสั่งต่อเรือลาดตระเวนเบาทั้ง 2 ลำจากอู่ต่อเรือเเคนเทียรี่ รูนนิติ เเดล’อาเดรียอาติโก ในเมืองตริเอสเต และได้รับพระราชทานชื่อว่า รล.ตากสิน และ รล.นเรศวร โดย รล.ตากสิน ทั้ง 2 ลำ ไม่ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย ทั้งที่ได้มีการเตรียมกำลังพลเพื่อรอรับเรือแล้ว เนื่องจาก อิตาลีเกณฑ์เอาเรือทั้งสองลำนี้ไปใช้ในสงคราม โดยตั้งชื่อใหม่และอยู่ในหมู่เรือลาดตระเวนเบาชุดภูเขาไฟ คือ “เอทน่า” กับ “วิซูเวียต” ซึ่งประวัติในกองทัพเรือเรานั้น มีเพียงประวัติสั้นๆอยู่ว่า “เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น การสร้างเรือก็ดำเนินไปอย่างล่าช้าก็เพราะ ขาดแคลนวัสดุและการส่งอาวุธประจำเรือ รวมไปถึงปืนใหญ่หลักของเรือขนาด 5.3 นิ้ว ที่ทั้ง 3 ป้อม ก็เป็นเเบบ โบฟอร์ส ของสวีเดนที่รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามด้วย เพราะถูกเยอรมันบุก จนเกือบจะถูกยึดครอง” ซึ่งทางเราคงทราบดีแล้วว่า ทางอิตาลีนั้นได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ก็คือฝ่ายนาซีเยอรมัน และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปเองก็รบกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่เยอรมันบุกเข้าโปแลนด์ ถึงแม้ว่าไทยจะร่วมรบกับญี่ปุ่นที่ถือว่า เป็นฝ่ายอักษะร่วมกันกับอิตาลีหลังเดือนมกราคม พ.ศ. 2485 จนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเเบบ บี-24 ลิเบอร์เรเตอร์ เข้าทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯ หลังจากญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เเล้วก็ตาม เเต่เมื่อเข้าสถานการณ์คับขันฝ่ายอักษะด้วยกันเองก็ต้องต่างฝ่ายต่างก็ต้องเอาตัวรอดกันทั้งนั้น เรือรบทั้ง 2 ลำ จึงได้ถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบ โดยภายหลังจากอิตาลี ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 เรือทั้ง 2 ลำที่สร้างเสร็จไปกว่า 53% ก็ถูกระเบิดทำลายโดยฝ่ายสัมพันธมิตรจนอับปางลงในสภาพนั่งแท่นเกือบจมน้ำ ก่อนที่ฝ่ายเยอรมัน จะเข้าครอบครองเรือทั้ง 2 หลังจากนั้นทางฝ่ายเยอรมันก็มีความพยายามที่จะซ่อมเเซมเรือทั้ง 2 ลำเเต่ก็ถูกยกเลิกไป จนกระทั่งได้มีการกู้ตัวเรือขึ้นมาเพื่อทำลายในภายหลัง ณ บริเวณอ่าวของเมืองตริเอสเต ที่ทำให้เรือทั้ง 2 ลำ ไม่มีโอกาสมารับใช้ประเทศไทย ซึ่งในเวลาต่อมาทางอิตาลีได้จ่ายเงินชดเชยค่าต่อเรือลาดตระเวนเบาทั้ง 2 ลำคืนให้เเก่ไทยเป็นจำนวน 601,360 ปอนด์


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • วางกระดูกงู 26 ส.ค. 2482
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 6 ส.ค. 2484
    • สถานะ ถูกทำลายขณะกำลังต่อ
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรือเเคนเทียรี่ รูนนิติ เเดล’อาเดรียอาติโก ในเมืองตริเอสเต ประเทศอิตาลี
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 153.80 เมตร
    • ความกว้าง 14.47 เมตร
    • กินน้ำลึก 5.95 เมตร
    • ความเร็วสูงสุด 28 นอต
    • ระวางขับน้ำปกติ 5,900 ตัน
    • ระวางขับน้ำเต็มที่ 6,000 ตัน
    • กำลังพลประจำเรือ 580 นาย
    • อากาศยาน เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเล 2 เครื่อง
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนใหญ่ขนาด 135 มม.(5.3 นิ้ว)/45 คาลิเบอร์ เเบบเเท่นคู่ 3 เเท่น
    • ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 65 มม.(2.6นิ้ว) เเบบเเท่นเดี่ยว 10 กระบอก
    • ปืนกลขนาด 20 มม.(0.79นิ้ว) เเบบเเท่นเดี่ยวอีก 20 กระบอก
    • ตอร์ปิโดขนาด 18 นิ้ว เเบบเเฝด 3 จำนวน 2 เเท่น
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องยนต์ กังหันไอน้ำ 3 หม้อน้ำ 40,000 แรงม้า
    • ใบจักร 2 เพลา
ภาพเรือทั้งสองลำขณะดำเนินการต่อ

แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/warshipthai
  • https://en.wikipedia.org
  • http://thaimilitary.blogspot.com

เรือหลวงท่าจีน(ลำที่ 2)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงท่าจีนเป็นเรือ ประเภท เรือฟริเกต ชื่อเดิม USS Glendale (PF-36) เป็นเรือในชั้น Tacoma CLASS สร้างที่บริษัท CONSOLIDATEC STELL CORPORATION ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มประจำการใน ทร.สหรัฐช่วง พ.ศ. 2487-2488 และ พ.ศ. 2493-2494 และ ส่งให้ ทร.รัฐเซีย ใช้โดยให้ชื่อว่า EK-6 ใช้ช่วง พ.ศ. 2488-2492 ก่อนที่จะขายให้ ทร.ไทย ซึ่งเรือหลวงท่าจีนนั้นเป็นเรือที่จัดหามาหลังจากเรือหลวงประแสลำที่ 1 ประสบเคราะห์กรรมจากสงคราม เกยตื้นที่ชายฝั่งประเทศเกาหลีเหนือ ในสงครามคาบสมุทรเกาหลี ที่ประเทศไทยส่งกองกำลังไปช่วยรบในนามกองกำลังสหประชาติ เรือหลวงท่าจีน ลำที่ 2 จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ในปี พ.ศ.2494 ซึ่งรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้ติดต่อขอซื้อมาจากสหรัฐอเมริกา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเจรจาขอซื้อเรือฟรีเกต 2 ลำ ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีขายให้โดยมีเงื่อนไข ให้ใช้เรือดังกล่าวในการปฏิบัติการรบร่วมกับสหประชาชาติ ในสงครามเกาหลี และให้ทัพเรือสหรัฐฯ ภาคแปซิฟิค (U.S.Pacific Fleet) จัดเรือฟรีเกตประจำการ 2 ลำ คือเรือ USS Glendale กับเรือ USS Gallup ขายให้ไทย ในราคา 861,946 เหรียญสหรัฐฯ เรือทั้งสองลำนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงประแส ตามลำดับ โดย เมื่อ 20 ตุ.ค. 2494 ได้มีพิธีส่ง และรับมอบเรือฟรีเกตทั้งสองลำที่ท่าหมายเลข 12 ฐานทัพเรือโยโกสุกะ โดยมีผู้บัญชาการฐานทัพเรือสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น และเกาหลี ในฐานะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ส่งมอบให้กับหัวหน้าคณะทูตไทย ณ ประเทศญี่ปุ่น เรือฟรีเกตทั้งสองลำได้ขึ้นระวางประจำการในกองทัพเรือไทยใน 29 ตุลาคม 2494 ปัจจุบัน เรือหลวงท่าจีนได้ปลดประจำการแล้ว ซึ่งกองทัพเรือ ได้นำไปตั้งเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพเรือ ณ โรงเรียนเตรียมทหาร อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 411
    • วางกระดูกงู 6 เม.ย. 2486
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 28 พ.ค. 2486
    • ไทยรับมอบ 20 ต.ค. 2494
    • ขึ้นระวางประจำการ 29 ต.ค. 2494
    • ปลดประจำการ 22 มิ.ย. 2543
    • ตัวเรือสร้างด้วย เหล็ก mild steel
    • ผู้สร้าง อู่ คอนโซลิเดทเต็ด สตีล เมืองวิลมิงตัน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 92.80 เมตร
    • ความกว้าง 11.40 เมตร
    • กินน้ำลึก หัว 2.74 เมตร ท้าย 3.05 เมตร
    • ระวางขับน้ำ ปกติ 1,430 ตัน สูงสุด 2,277 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 15 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 20.30 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 7,383 ไมล์ ที่ 15 นอต
    • กำลังพลประจำเรือ 216 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 76/50 มม. จำนวน 3 กระบอก
    • ปืนกล 20 ม.ม. จำนวน 9 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. จำนวน 2 กระบอก
    • เครื่องยิงอาวุธทางหัว (เฮจฮอก) แบบ MK 11 MOD
    • ท่อยิงโฮมมิ่งตอร์ปิโด SURFACE LIESSEL MK.32 MOD.0 จำนวน 2 ท่อ
    • แท่นยิงระเบิดลึกแบบ MK.6 MOD – 1 จำนวน 8 แท่น
    • เครื่องทำเสียง NIOSE MAKER S MARK 6
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรไอน้ำแบบข้อเสือข้อต่อ ชนิด ไอ ตัว 3 ครั้ง 4 สูบ สร้างโดย JOSHUA HENDY IRON WORKS จำนวน 2 เครื่อง
    • เครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดกังหันไอน้ำ ของ WISTING HOUSE จำนวน 2 เครื่อง
    • ใบจักร จำนวน 2 เพลาใบจักร
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • https://en.wikipedia.org
  • https://www.thairath.co.th

เรือหลวงท่าจีน(ลำที่1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

กองทัพเรือได้พยายามดำเนินการจัดหาเรือรบไว้ป้องกันประเทศมาเป็นเวลานานประมาณ 30 ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากติดขัดด้วยงบประมาณมีไม่เพียงพอ จึงทำให้กองทัพเรือมีเรือรบไม่เพียงพอต่อการป้องกันประเทศทางทะเล “โครงการบำรุงกำลังทางเรือ” เพิ่งจะมาสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 8 ปี พ.ศ. 2478 โดยมี นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เสนาธิการทหารเรือ และรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลได้เสนอโครงการจัดหาเรือรบไว้ป้องกันประเทศใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผ่านผู้บัญชาการทหารเรือ (นายนาวาเอก พระยาวิจารณ์จักรกิจ บุญชัย สวาทะสุข) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม) จนถึงคณะรัฐบาล โดยทำเป็น “พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478” นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ จึงได้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในการประชุมสภาครั้งที่ 62/2477 และได้รับอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น ประกาศใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2478 กองทัพเรือจึงได้แต่งตั้งกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกำลังทางเรือขึ้น มีนายนาวาเอก พระยาวิจารณ์จักรกิจ รักษาราชการ ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของคณะกรรมการฯ คือ นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย เสนาธิการทหารเรือในขณะนั้น นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย ได้มีดำริที่จะสร้าง “เรือฝึกหัดนักเรียน” ขึ้น ด้วยงบประมาณประจำปีของกองทัพเรืออยู่แล้วทั้งๆ ที่กำลังเสนอพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือต่อรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรด้วยพิจารณาเห็นว่า ร.ล.เจ้าพระยา “มีสภาพเหมาะที่จะเป็นเรือฝึกนักเรียน แต่ไม่เหมาะกับการ อวดธง” เพราะไม่มีอาวุธ ส่วน ร.ล.รัตนโกสินทร์ และ ร.ล.สุโขทัย “มีสภาพเหมาะกับการอวดธง แต่ไม่เหมาะกับการฝึก”

เรือที่สร้างขึ้นด้วยเงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478 และเสริมด้วยงบประมาณประจำปีของกองทัพเรือ คือ

  • เรือปืนหนัก 2 ลำ
  • เรือฝึกหัดนักเรียน 2 ลำ
  • เรือตอร์ปิโดใหญ่ 7 ลำ (ร.ล.ตราด และ ร.ล.ภูเก็ต สร้างด้วยงบประมาณพิเศษก่อนพระราชบัญญัติฯ นี้ )
  • เรือทุ่นระเบิด 2 ลำ
  • เรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ
  • เรือดำน้ำ 4 ลำ
  • เรือลำเลียง 2 ลำ
  • เครื่องบินทะเล 6 เครื่อง และ อาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ เช่น ปืนใหญ่ ทุ่นระเบิด ฯลฯ

พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478 ฉบับนี้นับว่าเป็น “ฉบับแรก ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ และของประเทศไทย” และเป็นฉบับเดียวมาจนตราบเท่าปัจจุบันนี้

การดำเนินการสร้าง

คณะกรรมการฯ ได้พิจารณารายการของเรือฝึกหัดนักเรียนหรือเรือสลุป 2 ลำนี้หลายครั้ง และมีมติให้ขอพระราชทานชื่อเรือฝึกหัดนักเรียน 2 ลำนี้ว่า “ท่าจีน” และ “แม่กลอง” ในที่สุดกองทัพเรือได้ตกลงสั่งต่อเรือฝึกหัดนักเรียนหรือเรือสลุป 2 ลำ และเรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ จากประเทศญี่ปุ่น โดยว่าจ้างบริษัทมิตซุยบุชซันไกชาเป็นผู้ต่อเรือ แยกการต่อเรือจากอู่ต่อเรือ 2 อู่ คือ ร.ล.ท่าจีน และ ร.ล.แม่กลอง ต่อที่อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยโกสุกะ ส่วนเรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ ร.ล.คลองใหญ่ ร.ล.ตากใบ และร.ล.กันตัง ต่อที่อู่ต่อเรืออิชิกาวายิมา กรุงโตเกียว กองทัพเรือได้ลงนามในสัญญา สั่งต่อเรือหลวงทั้ง 5 ลำ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2478 และ ได้ส่งนายนาวาเอก พระประกอบกลกิจ เป็นหัวหน้าควบคุมการต่อเรือทั้ง 5 ลำ

ความสูญเสีย

เรือหลวงท่าจีน ขึ้นระวางประจำการ พ.ศ. 2480 ช่วงปลายกรณีพิพาทระหว่างไทย – อินโดจีนฝรั่งเศส กองทัพเรือได้ยกเลิกการใช้งานเครื่องบินทะเล และติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน Japanese 40/40 มม.แท่นคู่จำนวน 1 กระบอกเป็นการทดแทน รวมทั้งถอดตอร์ปิโดขนาด450 มม.ออก แล้วติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน Japanese 40/40 มม.แท่นเดี่ยวจำนวน 2 กระบอก เป็นการทดแทน เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมาไม่นาน ประเทศไทยโดนโจมตีทางอากาศ จากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรตลอดเวลา วันที่ 1 มิถุนายน ณ.บริเวณอ่าวสัตหีบ มีฝูงบินประมาณ 10 – 15 เครื่องเข้าโจมตีกองเรือไทยที่ซุ่มจอดหลบภัยอยู่ตามเกาะเล็กเกาะน้อย ระเบิดขนาด 250 กิโลกรัมลูกหนึ่ง ตกลงที่กราบขวาของเรือหลวงท่าจีน โดนเข้าที่ห้องเครื่องใหญ่ ทะลุพื้นเรือลงไประเบิดในน้ำ มีทหารบาดเจ็บ 3 นายและบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 50 นาย เรือหลวงท่าจีนแตกตามตะเข็บเรือ น้ำท่วมห้องเครื่องหลัก เสียหายหนักใช้การไม่ได้ กองทัพเรือได้พยายามซ่อมคืนสภาพในภายหลัง ซึ่งก็ยังไม่ดีเหมือนเดิมประสิทธิภาพของเรือลดลงมาก ท้ายที่สุดจึงต้องปลดประจำการในปี พ.ศ. 2488 ที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ภารกิจของหน่วย

  • ในยามสงคราม ปฏิบัติภารกิจในการป้องกันประเทศทางทะเลในหน้าที่เรือสลุป สามารถทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ในยามสงบ ปฏิบัติภารกิจเป็นเรือฝึกนักเรียนทหาร และนายทหาร สำหรับฝึกภาคทะเลเป็นระยะทางไกลจนถึงเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อให้นักเรียนทหาร นายทหาร และทหารได้รับความรู้ความชำนาญในการเดินเรือ และเป็นการอวดธงไปด้วย


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 24 กรกฎาคม 2479
    • ขึ้นระวางประจำการ 26 ก.ย. 2480
    • ปลดประจำการ พ.ศ. 2488
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยโกสุกะ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 85 เมตร
    • ความกว้าง 10.5 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.7 เมตร
    • ระวางขับน้ำสูงสุด 1,400 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 17 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 16,000 ไมล์
    • กำลังพลประจำเรือ 173 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 120 ม.ม. จำนวน 4 กระบอก
    • ปืนกล 20 ม.ม. จำนวน 2 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. จำนวน 3 กระบอก
    • ตอร์ปิโด 45 ซม. 2 แท่น จำนวน 4 ท่อ
    • เครื่องบินทะเล จำนวน 1 เครื่อง
    • แท่นปล่อยระเบิดลึก 6 แท่น
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรใหญ่ชนิดเครื่องจักรไอน้ำแบบข้อเสือข้อต่อร่วมกับเครื่องกังหันไอน้ำ จำนวน 2 เครื่อง
    • ใบจักรคู่

แหล่งอ้างอิง

  • https://www3.navy.mi.th
  • http://thaimilitary.blogspot.com

เรือหลวงพลายชุมพล

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

กองทัพเรือได้เริ่มความสนใจในการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 ในเอกสารโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ. 2453 โดยนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสรรค์ และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้กำหนดให้มีเรือ ส. (สับมะรีน หรือเรือดำน้ำ) จำนวน 6 ลำ และต่อมาในปี พ.ศ.2458 นายเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ได้ทรงจัดทำเอกสารรายงานความคิดเห็นเรื่องเรือ ส. ระบุถึงข้อมูลแนวทางการจัดหาเรือดำน้ำ การใช้งาน และสิ่งสนับสนุนต่างๆ โดยละเอียด

จนกระทั่งเป็นเวลาอีก 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2478 กองทัพเรือจึงได้เริ่มการจัดหาเรือดำน้ำ โดยได้ตกลงสร้างเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ จากอู่ต่อเรือมิตซูบิชิโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ร.ล.มัจฉาณุ ร.ล.วิรุณ ร.ล.สินสมุทร และ ร.ล.พลายชุมพล ซึ่งกองทัพเรือได้รับมอบเรือดำน้ำ 2 ลำแรก คือ ร.ล.มัจฉานุ และ ร.ล.วิรุณ เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2480 และต่อมากองทัพเรือจึงได้กำหนดให้วันที่ 4 กันยายนของทุกปีเป็น “วันเรือดำน้ำ” เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2481 และกองทัพเรือได้ขึ้นระวางประจำการเรือทั้ง 4 ลำ ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2481 โดยในระหว่างสงครามอินโดจีน หลังจากยุทธนาวีที่เกาะช้างเมื่อปี พ.ศ.2484 เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้ทำการลาดตระเวนบริเวณหน้าฐานทัพเรือเรียมของอินโดจีนฝรั่งเศส สร้างความหวั่นเกรงให้กับฝ่ายฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ต่อมาในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงไฟฟ้าสามเสนและวัดเลียบได้ถูกทิ้งระเบิดจนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และกองทัพเรือได้รับการร้องขอให้นำเรือดำน้ำไปทำการจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้รถรางในกรุงเทพสามารถวิ่งได้ตามปกติ เรือหลวงพลายชุมพล เป็นชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ พลายชุมพล จากเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยเรือหลวงพลายชุมพล ประกอบขึ้นพร้อมกับเรือหลวงสินสมุทร แต่มีรูปแบบแตกต่างกัน โดยเรือหลวงสินสมุทร เรือหลวงมัจฉาณุและเรือหลวงวิรุณ 3 ลำ มีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ ต่างจากเรือหลวงพลายชุมพล

อย่างไรก็ดี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนอะไหล่ให้กับเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำของไทยได้ นอกจากนี้หลังจากเหตุการณ์กบฎแมนฮัตตัน เมื่อปี 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 ทำให้กองทัพเรือถูกปรับลดโครงสร้างและถูกจำกัดงบประมาณเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงกลาโหมได้ลงคำสั่งยุบหมวดเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 และกองทัพเรือได้ปลดระวางประจำการเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ในที่สุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 นับเป็นการปิดฉากเรือดำน้ำไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 4
    • วางกระดูกงู 1 ต.ค. 2479
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 14 พ.ค. 2480
    • ขึ้นระวางประจำการ 19 ก.ค. 2481
    • ปลดประจำการ 30 พ.ย. 2494
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ โกเบ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 51.0 เมตร
    • ความกว้าง 4.10 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.60 เมตร
    • ระวางขับน้ำ บนผิวน้ำ 374.5 ตัน ขณะดำ 430 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
    • ความเร็ว ผิวน้ำ 15.7 นอต ใต้น้ำ 8.10 นอต
    • ดำลึกสุด 60 เมตร
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,770 ไมล์
    • กำลังพลประจำเรือ 33 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนกลลูวิสต่อสู้อากาศยานขนาด 76/25 ม.ม. จำนวน 1 กระบอก
    • ปินใหญ่ขนาด 8 ซม. จำนวน 1 กระบอก
    • ตอร์ปิโดขนาด 45 ซม. แบบ เอ.เค. จำนวน 4 ท่อ
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ 1,100 แรงม้า (820 กิโลวัตต์) จำนวน 2 เครื่อง
    • เครื่องไฟฟ้ากำลัง 540 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) จำนวน 1 เครื่อง

แหล่งอ้างอิง

  • https://pantip.com
  • https://th.wikipedia.org

เรือหลวงสินสมุทร

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

กองทัพเรือได้เริ่มความสนใจในการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 ในเอกสารโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ. 2453 โดยนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสรรค์ และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้กำหนดให้มีเรือ ส. (สับมะรีน หรือเรือดำน้ำ) จำนวน 6 ลำ และต่อมาในปี พ.ศ.2458 นายเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ได้ทรงจัดทำเอกสารรายงานความคิดเห็นเรื่องเรือ ส. ระบุถึงข้อมูลแนวทางการจัดหาเรือดำน้ำ การใช้งาน และสิ่งสนับสนุนต่างๆ โดยละเอียด

จนกระทั่งเป็นเวลาอีก 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2478 กองทัพเรือจึงได้เริ่มการจัดหาเรือดำน้ำ โดยได้ตกลงสร้างเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ จากอู่ต่อเรือมิตซูบิชิโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ร.ล.มัจฉาณุ ร.ล.วิรุณ ร.ล.สินสมุทร และ ร.ล.พลายชุมพล ซึ่งกองทัพเรือได้รับมอบเรือดำน้ำ 2 ลำแรก คือ ร.ล.มัจฉานุ และ ร.ล.วิรุณ เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2480 และต่อมากองทัพเรือจึงได้กำหนดให้วันที่ 4 กันยายนของทุกปีเป็น “วันเรือดำน้ำ” เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2481 และกองทัพเรือได้ขึ้นระวางประจำการเรือทั้ง 4 ลำ ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2481 โดยในระหว่างสงครามอินโดจีน หลังจากยุทธนาวีที่เกาะช้างเมื่อปี พ.ศ.2484 เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้ทำการลาดตระเวนบริเวณหน้าฐานทัพเรือเรียมของอินโดจีนฝรั่งเศส สร้างความหวั่นเกรงให้กับฝ่ายฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ต่อมาในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงไฟฟ้าสามเสนและวัดเลียบได้ถูกทิ้งระเบิดจนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และกองทัพเรือได้รับการร้องขอให้นำเรือดำน้ำไปทำการจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้รถรางในกรุงเทพสามารถวิ่งได้ตามปกติ ชื่อเรือหลวงสินสมุทร เป็นตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ สินสมุทร จากเรื่องพระอภัยมณี โดยเรือหลวงสินสมุทร ประกอบขึ้นพร้อมกับเรือหลวงพลายชุมพล แต่มีรูปแบบแตกต่างกัน โดยเรือหลวงสินสมุทรมีลักษณะภายนอกเหมือนกับเรือหลวงมัจฉาณุและเรือหลวงวิรุณ ทุกประการ

อย่างไรก็ดี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนอะไหล่ให้กับเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำของไทยได้ นอกจากนี้หลังจากเหตุการณ์กบฎแมนฮัตตัน เมื่อปี 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 ทำให้กองทัพเรือถูกปรับลดโครงสร้างและถูกจำกัดงบประมาณเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงกลาโหมได้ลงคำสั่งยุบหมวดเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 และกองทัพเรือได้ปลดระวางประจำการเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ในที่สุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 นับเป็นการปิดฉากเรือดำน้ำไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 3
    • วางกระดูกงู 1 ต.ค. 2479
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 14 พ.ค. 2480
    • ขึ้นระวางประจำการ 19 ก.ค. 2481
    • ปลดประจำการ 30 พ.ย. 2494
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ โกเบ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 51.0 เมตร
    • ความกว้าง 4.10 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.60 เมตร
    • ระวางขับน้ำ บนผิวน้ำ 374.5 ตัน ขณะดำ 430 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
    • ความเร็ว ผิวน้ำ 15.7 นอต ใต้น้ำ 8.10 นอต
    • ดำลึกสุด 60 เมตร
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,770 ไมล์
    • กำลังพลประจำเรือ 33 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนกลลูวิสต่อสู้อากาศยานขนาด 76/25 ม.ม. จำนวน 1 กระบอก
    • ปินใหญ่ขนาด 8 ซม. จำนวน 1 กระบอก
    • ตอร์ปิโดขนาด 45 ซม. แบบ เอ.เค. จำนวน 4 ท่อ
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ 1,100 แรงม้า (820 กิโลวัตต์) จำนวน 2 เครื่อง
    • เครื่องไฟฟ้ากำลัง 540 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) จำนวน 1 เครื่อง

แหล่งอ้างอิง

  • https://pantip.com
  • https://th.wikipedia.org

เรือหลวงวิรุณ

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

กองทัพเรือได้เริ่มความสนใจในการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 ในเอกสารโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ. 2453 โดยนายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสรรค์ และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้กำหนดให้มีเรือ ส. (สับมะรีน หรือเรือดำน้ำ) จำนวน 6 ลำ และต่อมาในปี พ.ศ.2458 นายเรือโท พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ได้ทรงจัดทำเอกสารรายงานความคิดเห็นเรื่องเรือ ส. ระบุถึงข้อมูลแนวทางการจัดหาเรือดำน้ำ การใช้งาน และสิ่งสนับสนุนต่างๆ โดยละเอียด

จนกระทั่งเป็นเวลาอีก 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2478 กองทัพเรือจึงได้เริ่มการจัดหาเรือดำน้ำ โดยได้ตกลงสร้างเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ จากอู่ต่อเรือมิตซูบิชิโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ร.ล.มัจฉาณุ ร.ล.วิรุณ ร.ล.สินสมุทร และ ร.ล.พลายชุมพล ซึ่งกองทัพเรือได้รับมอบเรือดำน้ำ 2 ลำแรก คือ ร.ล.มัจฉานุ และ ร.ล.วิรุณ เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2480 และต่อมากองทัพเรือจึงได้กำหนดให้วันที่ 4 กันยายนของทุกปีเป็น “วันเรือดำน้ำ” เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2481 และกองทัพเรือได้ขึ้นระวางประจำการเรือทั้ง 4 ลำ ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2481 โดยในระหว่างสงครามอินโดจีน หลังจากยุทธนาวีที่เกาะช้างเมื่อปี พ.ศ.2484 เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้ทำการลาดตระเวนบริเวณหน้าฐานทัพเรือเรียมของอินโดจีนฝรั่งเศส สร้างความหวั่นเกรงให้กับฝ่ายฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ต่อมาในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงไฟฟ้าสามเสนและวัดเลียบได้ถูกทิ้งระเบิดจนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และกองทัพเรือได้รับการร้องขอให้นำเรือดำน้ำไปทำการจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้รถรางในกรุงเทพสามารถวิ่งได้ตามปกติ ชื่อเรือหลวงวิรุณ เป็นชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ วิรุณจำบัง จากเรื่องรามเกียรติ์

อย่างไรก็ดี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนอะไหล่ให้กับเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำของไทยได้ นอกจากนี้หลังจากเหตุการณ์กบฎแมนฮัตตัน เมื่อปี 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 ทำให้กองทัพเรือถูกปรับลดโครงสร้างและถูกจำกัดงบประมาณเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงกลาโหมได้ลงคำสั่งยุบหมวดเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 และกองทัพเรือได้ปลดระวางประจำการเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ในที่สุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 นับเป็นการปิดฉากเรือดำน้ำไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 2
    • วางกระดูกงู 6 พ.ค. 2479
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 24 ธ.ค. 2479
    • ขึ้นระวางประจำการ 19 ก.ค. 2481
    • ปลดประจำการ 30 พ.ย. 2494
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ โกเบ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 51.0 เมตร
    • ความกว้าง 4.10 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.60 เมตร
    • ระวางขับน้ำ บนผิวน้ำ 374.5 ตัน ขณะดำ 430 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
    • ความเร็ว ผิวน้ำ 15.7 นอต ใต้น้ำ 8.10 นอต
    • ดำลึกสุด 60 เมตร
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 4,770 ไมล์
    • กำลังพลประจำเรือ 33 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนกลลูวิสต่อสู้อากาศยานขนาด 76/25 ม.ม. จำนวน 1 กระบอก
    • ปินใหญ่ขนาด 8 ซม. จำนวน 1 กระบอก
    • ตอร์ปิโดขนาด 45 ซม. แบบ เอ.เค. จำนวน 4 ท่อ
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ 1,100 แรงม้า (820 กิโลวัตต์) จำนวน 2 เครื่อง
    • เครื่องไฟฟ้ากำลัง 540 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) จำนวน 1 เครื่อง

แหล่งอ้างอิง

  • https://pantip.com
  • https://th.wikipedia.org

เรือหลวงชุมพร

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เมื่อพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478 ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาแล้ว กองทัพเรือต้องการต่อเรือตอร์ปิโดชั้นเรือหลวงตราดเพิ่มเติม 4 ลำ ในโครงการเฟส 2 ได้มีการเรียกประกวดราคาเรือและราคาอาวุธต่างๆแยกกันออกไป โดยเลือกใช้ปืนเรือจากสวีเดนและตอร์ปิโดจากเดนมาร์คทดแทนของเดิม ส่งผลให้ราคาต่อเรือหนึ่งลำไม่รวมอาวุธเหลือแค่เพียง 571,300 บาท ทำให้สามารถจัดหาเพิ่มเติมได้ถึง 7 ลำในวงเงิน 3.999 ล้านบาท และเมื่อติดตั้งอาวุธครบครันแล้วมีราคาต่อลำแค่เพียง 8 แสนบาทเท่านั้น พอรวมกับเรือเดิมอีก 2 ลำแล้ว จึงเท่ากับมีเรือชั้นเดียวกันถึง 9 ลำ กองทัพเรือสามารถจัดกำลังรบเป็นหมู่ละ 3 ลำได้ถึง 3 หมู่ เรือตอร์ปิโดชั้นเรือหลวงตราดเฟส 2 เข้าประจำการพร้อมกันทุกลำวันที่ 5 ตุลาคม 2481 เรือมีระวางขับน้ำลดลงมาประมาณ 10 ตันคือ 460 ตัน ความเร็วลดลงมาประมาณ 1.5 นอตคือ 30.5 นอต มีการปรับปรุงในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งสามารถบรรทุกน้ำมันได้มากขึ้นกว่าเดิม จึงมีระยะทำการไกลสุดเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เรือหลวงชุมพร เดิมใช้หมายเลขเรือ 31 ข้างเรือมีข้อความ ชพ. ภายหลังได้ลบออก ได้รับใช้ราชการนาน 37 ปี ปลดระวางประจำการเมื่อ 26 พ.ย. 2518 หลังปลดระวางแล้ว จังหวัดชุมพรได้ขอเรือไปประดิษฐาน ณ บริเวณศาลพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่หาดทรายรี ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เรือหลวงชุมพรมิได้มีความเกี่ยวข้อง กับกรมหลวงชุมพรฯ แต่อย่างใด เป็นเพียงพระนามพ้องกับชื่อเรือและชื่อของจังหวัด เท่านั้น ส่วนเรือที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรมหลวงชุมพรคือ เรือหลวงพระร่วง เป็นเรือที่พระองค์ไปซื้อ และนำเรือกลับมายังประเทศไทยด้วยพระองค์เอง

เดิมเขียนเลข 31 และที่ข้างเรือเขียน ชพ. ภายหลังจึงลบเลข และตัวอักษร เมื่อครั้งกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส พุทธศักราช 2484 ต่อมาเปลี่ยนเป็นหมายเลข 7


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 31 และ หมายเลข 7
    • ขึ้นระวางประจำการ 5 ต.ค. 2481
    • ปลดประจำการ 26 พ.ย. 2518
    • ผู้สร้าง อู่กันติเอริ ริอูนิติ เดลล์ดดริอาติโก มองฟัลโกเน เมืองตริเอสเต (Cantieri Riuniti dell’ Adriatico in Monfalcone) ประเทศอิตาลี
    • กำลังพล 112 นาย
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 68 เมตร
    • ความกว้าง 6.55 เมตร
    • กินน้ำลึก 2.80 เมตร
    • ระวางขับน้ำปกติ 413 ตัน
    • ระวางขับน้ำสูงสุด 460 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 30 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,530 ไมล์ ที่ 12 นอต และ 867 ไมล์ ที่ 30 นอต
  • ระบบอาวุธ
    • ตอร์ปิโด 44 ซม. 4 ท่อยิง
    • ปืน 75/51 มม. 2 กระบอก
    • ปืนต่อสู้อากาศยาน Madsen 20 มม. 2 กระบอก
    • ปืน 40/60 มม. Bofors 1 กระบอก
    • ปืนกล Lewis 7.7 มม จำนวน 2 – 4 กระบอก
  • ระบบขับเคลื่อน
    • เครื่องจักรไอน้ำ แบบพาร์สัน (ไอเบา 2 ครั้ง) 2 เครื่อง
    • ใบจักรคู่
เรือหลวงชุมพร ณ หาดทรายรี จ.ชุมพร

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtni.org
  • http://thaimilitary.blogspot.com

Copyright © 2025 Seafarer Library

Theme by Anders NorenUp ↑