Category: Uncategorized

เกาะเมียง

⇧ เกาะที่น่าสนใจ

เกาะเมียง หรือ เกาะสี่ เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่รองจากสิมิลัน เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ชายหาดที่เกาะเมียงจะมีสีขาวละเอียด เนียนสวยงามน่าสัมผัส น้ำทะเลใส บนเกาะเมียงจะมีสัตว์ที่หาดูได้ยาก เช่น ปูไก่ ที่มีลำตัวเป็นสีแดงสด มีก้ามสีดำเหลือบน้ำเงิน เวลาร้องจะมีเสียงคล้ายไก่ จะเห็นได้ในช่วงหัวค่ำที่มันออกหากิน นกชาปีไหน เป็นนกประจำถิ่นขนาดใหญ่ตระกูลเดียวกับนกพิราบป่า มีสีสันและลวดลาย มีสีสันและลวดลายบนตัวที่งดงาม จะพบได้ตามริมชายหาด หรือร้านอาหารหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และ ปูเสฉวน ที่มีมากมายหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่


เกาะเมียงมีพื้นที่น่าสนใจ 3 แห่ง คือหาดหน้า หาดเล็ก และจุดชมวิวลานข้าหลวง กิจกรรมท่องเที่ยว เกาะเมียง (เกาะสี่) ได้แก่ เล่นน้ำทะเล, ดำน้ำดูปะการัง-ดูปลา, ชมวิวพระอาทิตย์ตก, ชมวิวที่จุดชมวิวลานข้าหลวง, กางเต้นท์-ปิคนิค, ดูนก

นอกจากนี้ จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ด้านชายฝั่งทะเลอันดามันเป็นเหตุให้บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างของประชาชนบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต กองทัพเรือจึงได้จัดตั้งระบบ เตือนภัยการเกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่บนเกาะเมียง โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ มกราคม 2548 พร้อมจัดเจ้าหน้าที่จากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือไปประจำอยู่บนเกาะดังกล่าว เพื่อเฝ้าตรวจระดับน้ำขึ้นลง

สถานีตรวจวัดระดับน้ำทะเล ก.เมียง

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.painaidii.com
  • https://www.travelthaiblog.com
  • https://www.ryt9.com
  • https://earthquake.tmd.go.th/

เกาะตะรุเตา

⇧ เกาะที่น่าสนใจ

เกาะตะรุเตา เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวน 51 เกาะ จังหวัดสตูล ห่างจากเกาะลังกาวี ของมาเลเซีย 4.8 กิโลเมตร โดยคำว่า “ตะรุเตา” เป็นภาษามลายู เพี้ยนมาจากคำว่า ตือโละตาวาร์ (Teluk Tawar) แปลว่า “อ่าวจืด” หรือ “อ่าวน้ำจืด” เพราะบนเกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่เดียวที่มีธารน้ำจืดอยู่

ในปี พ.ศ. 2479 มีการประกาศพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นโจรผู้ร้าย กรมราชทัณฑ์จึงหาสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดได้เลือกเกาะตะรุเตาและจัดตั้งขึ้นเป็นทัณฑสถาน โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 กลุ่มบุกเบิกของกรมราชทัณฑ์ ภายใต้การนำของขุนพิธานทัณฑทัย ได้ขึ้นสำรวจเกาะตะรุเตาบริเวณอ่าวตะโละอุดังและอ่าวตะโละวาว เพื่อจัดทำเป็นทัณฑสถาน เป็นนิคมฝึกอาชีพของนักโทษเด็ดขาด และนักโทษผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบนเกาะนี้ เพื่อประโยชน์แก่การราชทัณฑ์ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 56 หน้า 566 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2482 ปลายปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมืองจากคดีกบฏบวรเดช (พ.ศ. 2476) และกบฏนายสิบ (พ.ศ. 2478) จำนวน 70 นาย มายังเกาะตะรุเตาซึ่งถูกกักบริเวณไว้ที่อ่าวตะโละอุดัง โดยจำนวนนักโทษทั้งหมดมีราว 4,000 คน


ต่อมา ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484-2488) เกาะตะรุเตาถูกตัดขาดออกจากแผ่นดินใหญ่ เกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร ยา และเครื่องใช้ต่าง ๆ ต้นปี พ.ศ. 2487 ผู้คุมนักโทษได้ทำตัวเป็นโจรสลัดเข้าปล้นสะดมเรือบรรทุกสินค้าชาวไทยและต่างประเทศที่แล่นแผ่นไปมา ในที่สุดรัฐบาลไทยและทหารอังกฤษได้เข้าปราบโจรสลัดเกาะตะรุเตาเมื่อปี พ.ศ. 2489 และอีกสองปีต่อมากรมราชทัณฑ์ จึงได้ยกเลิกนิคมฝึกอาชีพตะรุเตาในที่สุด ในเกาะมีนักโทษการเมืองรวมกว่า 4,000 คน นักโทษเหล่านี้ถูกทารุณกรรมหลายรูปแบบ ทั้งการเฆี่ยนตี สมอบก การใช้แรงงานอย่างทารุณกรรม รวมถึงการฆาตกรรม เช่นการยิงทิ้ง

ตึกแดง สถานที่จองจำนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ในอดีต

ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เสนอให้จัดที่ดินบริเวณเกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันเป็นอุทยานแห่งชาติ และได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินเกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะอื่นๆ ในท้องที่ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล รวมเนื้อที่ประมาณ 931,250 ไร่ หรือ 1,490 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาเมื่อนที่ 19 เมษายน 2517 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 8 ของประเทศไทย และในภายหลัง อุทยานแห่งชาติตะรุเตาได้รับการประกาศจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็น ASEAN Heritage Parks หรือ อุทยานมรดกแห่งอาเซียน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2527 ในฐานะพื้นที่อนุรักษ์ที่มีความสำคัญสูงที่เป็นตัวแทนระบบนิเวศของภูมิภาค

อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ประกอบด้วย 7 เกาะใหญ่ ด้วยกัน คือ เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ เกาะกลาง เกาะบาตวง และเกาะบิสสี โดยจัดแบ่งออกเป็นหมู่เกาะใหญ่ๆ ได้ 2 หมู่เกาะ คือ หมู่เกาะ ตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี โดยเกาะตะรุเตา เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ 152.01 ตารางกิโลเมตร ลักษณะพืชพรรณไม้มีความอุดมสมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังพบ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จำนวนที่พบมากกว่า 30 ชนิด เช่น หมูป่า กระจง ลิงแสม ค่างแว่นถิ่นใต้ นากใหญ่ขนเรียบ เม่นหางพวงใหญ่ อีเห็นธรรมดา บ่าง กระรอกบินแก้มสีแดง หนูท้องขาว และค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก นก จำนวนมากกว่า 268 ชนิด ประกอบด้วย นกยางเขียว นกยางทะเล นกออก นกเด้าดิน นกเขาใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล นกจาบคาหัวเขียว นกตะขาบดง นกแก็ก นกหัวขวานสี่นิ้วหลังทอง นกแอ่นบ้าน นกปรอดคอลาย นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกขมิ้นท้ายทอยดำ นกเขียวคราม นกเด้าลมดง นกอีเสือสีน้ำตาล นกขุนทอง นกกินปลีอกเหลือง นกเอี้ยงถ้ำ สัตว์เลื้อยคลาน พบมากกว่า 30 ชนิด ประกอบด้วย ตะกวด เหี้ย งูเหลือม งูจงอาง งูกะปะ งูเขียวตุ๊กแก งูเขียวหางไหม้ท้องเขียว งูพังกา งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูเห่า งูปล้องทอง แย้ จิ้งจก ตุ๊กแกบ้าน จิ้งเหลน กิ้งก่า และเต่าหับ แมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ทะเล และสัตว์น้้ำจืด อีกจำนวนหนึ่ง


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org
  • http://park.dnp.go.th

เกาะช้าง จ.ตราด

⇧ เกาะที่น่าสนใจ

เกาะช้าง เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวไทย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากเกาะภูเก็ต และเกาะสมุย เกาะช้างเป็นเกาะที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีเกาะเล็ก เกาะน้อยรวมกันกว่า 40 เกาะ มีเนื้อที่ประมาณ 429 ตารางกิโลเมตร และเฉพาะเกาะช้างมีเนื้อที่ประมาณ 212 ตารางกิโลเมตร ทั่วไปมีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ กลางเกาะเป็นภูเขาสลับซับซ้อนและป่าดิบชื้น มีที่ราบอยู่ตามขอบเกาะก่อนถึงชายหาดของอ่าวต่าง ๆ ที่ราบเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว สวนยางพารา และสวนผลไม้อื่น ๆ ส่วนยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะช้าง ยอดเขาสลักเพชร มีความสูง 744 เมตร อันเป็นแหล่งกำเนิดน้ำตกและธารน้ำหลายสายที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะ


เกาะช้าง เดิมเป็นเกาะที่ไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย เป็นเพียงท่าจอดเรือหลบมรสุมและสะสมแหล่งเสบียงอาหารและน้ำจืดเท่านั้น เท่าที่มีหลักฐานนับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยามีเรือสำเภอจากเมืองจีนเดินทางเข้ามาค้าขาย ผ่านเมืองญวน  เมืองเขมร  เมืองเกาะกง (ซึ่งแต่เดิมเป็นของสยาม) และเข้ามาถึงเมืองตราด เรือสำเภาจะมาพักหลบคลื่นลมมรสุมในระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือน ตุลาคม ตามหมู่เกาะช้าง บริเวณบ้านด่านใหม่  บ้านคลองสน  อ่าวสลักเพชร  หรืออ่าวสลัด  และอ่าบางเบ้า โดยชาวจีนมากับเรือสำเภาจะเป็นกลุ่มแรกที่มาอาศัยตั้งถิ่นฐาน ทำมาหากินอยู่บนเกาะช้าง 

เกาะช้างมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายแห่ง น้ำตก และหาดทรายที่สวยงาม รวมทั้งมีประวัติศาสตร์ เช่น ยุทธนาวีเกาะช้าง หรือการรบทางเรือในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และการตามรอยเสด็จประพาสของ ร.5 ที่เสด็จมาถึง 12 ครั้ง รวมทั้งความสมบูรณ์ของป่าชายเลน และเสน่ห์ของวิถีชีวิตแบบชาวเกาะ

อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง ริมหาดยุทธนาวี ต.เกาะช้างใต้

เกาะช้างถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งมีธรรมชาติและความสวยงามที่ไม่แพ้กัน และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ให้ได้ค้นหามากมาย

เกาะช้างฝั่งตะวันตก หรือ เกาะช้างเลี้ยวขวา เป็นโซนท่องเที่ยวที่คึกคักมากที่สุด เต็มไปด้วยที่พักชื่อดังมากมาย มีชายฝั่ง หาดทรายให้เล่นน้ำตั้งแต่เหนือจรดใต้ ชายหาดที่ได้รับความนิยมได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว และ หาดไก่แบ้ รวมทั้งธรรมชาติมากมายสวยงาม เช่น ทะเลแหวกที่เกาะมันใน และ หมู่เกาะเล็กๆ

เกาะช้างฝั่งตะวันออก หรือ เกาะช้างเลี้ยวซ้าย ด้านนี้เป็นแหล่งชุมชนของคนท้องถิ่นที่ตั้งรกรากมาพร้อมกับอาชีพประมงบนเกาะช้าง และมีหน่วยงานราชการตั้งอยู่ มีบรรยากาศที่เงียบสงบแต่ด้านนี้จะไม่มีชายหาดให้เล่นน้ำ จึงเหมาะสำหรับการพักผ่อนเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านที่หมู่บ้านชาวประมง ไปเที่ยวน้ำตกขนาดใหญ่อย่าง น้ำตกคลองพลูและน้ำตกธารมะยม ชื่นชมความงามของป่าเขา แล้วไปดำน้ำดูปะการังแสนสวยใต้ทะเล หรือจะไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์  อาทิ วัด และ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นต้น

เกาะช้างใต้ คือตำบลหนึ่งที่อยู่ในเขตการปกครองของกิ่งอำเภอเกาะช้าง จ.ตราด กินอาณาเขตคลอบคลุม โลนลี่บีช (หาดท่าน้ำ), อ่าวใบลาน, อ่าวบางเบ้า, อ่าวสลักเพชร, อ่าวสลักคอก และมี 5 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านบางเบ้า บ้านสลักแพชร บ้านเจ็กแบ้ บ้านสลักคอก แบะบ้านสลักเพชรเหนือ ซึ่งส่วนนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มากมาย


แหล่งอ้างอิง

  • http://kohchang.guru
  • https://th.wikipedia.org
  • http://kohchang.trat.doae.go.th

เกาะโลซิน

⇧ เกาะที่น่าสนใจ

กระโจมไฟ เกาะโลซิน

เกาะโลซิน เป็นภูเขาหินปูนใต้น้ำ มีส่วนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นกองหินเพียง เล็กน้อย จึงมักถูกเรียกว่ากองหินโลซิน ตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี ห่างจากชายฝั่งระยะทาง 72 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกาะโลซินยังคงความงดงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเลไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งแนวปะการังที่สวยงาม และสัตว์ทะเลที่สวยงามแปลกตานานาชนิด เป็นที่พักพิง หลบภัยของเหล่าสัตว์ทะเลน้อยใหญ่หลากหลายพันธุ์ โดยเฉพาะแนวปะการังที่สมบูรณ์สวยงามรอบ ๆ เกาะ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 493.75 ไร่ จึงทำให้ที่แห่งนี้ กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักดำน้ำ คำว่า โลซิน Losin คาดว่าเพี้ยนมาจาก Lusin ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า 12 ซึ่งเป็นหน่วยนับพื้นฐานของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเกาะโลซิน อาจหมายถึง เกาะที่อยู่ห่างไกลที่สุด นอกจากนี้ด้วยความที่เกาะโลซินตั้งอยู่ห่างไกลออกไปในทะเล
จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้อาณาเขตพื้นที่ทางทะเลของไทยกว้างออกไป โดยทำให้ไทยสามารถใช้เป็นจุดอ้างอิง ในการประกาศทะเลอาณาเขตออกจากเกาะโลซินไปถึง 200 ไมล์ทะเล ครอบคลุมพื้นที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ อย่างก๊าซธรรมชาติ


การประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะของรัฐชายฝั่งของตนออกมา 200 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 370 กิโลเมตร ตามอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ทำให้เขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย-มาเลเซียนั้นมีพื้นที่ทับซ้อนกันอย่างกว้างขวาง และเมื่อสำรวจพบว่าใต้ทะเลบริเวณนี้เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติปริมาณมหาศาล ทั้งไทยและมาเลเซียต่างก็อ้างสิทธิในพื้นที่ทางทะเลดังกล่าว จนเกิดข้อโต้แย้งกันขึ้น และมีการตั้งโต๊ะเจรจาอย่างจริงจังใน พ.ศ.2515 ซึ่งการเจรจาในครั้งนั้นใช้การแบ่งเขตทางทะเลด้วยวิธีการลากเส้นตั้งฉากจากแนวโค้งของแผ่นดินแต่ละฝ่าย หรือที่เรียกว่าเขตไหล่ทวีปตามหลักสากล ด้วยวิธีเช่นนั้นทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบอย่างมาก และพื้นที่แหล่งก๊าซธรรมชาติจะกลายเป็นของมาเลเซียทั้งหมด

แต่สุดท้ายแล้ว “เกาะโลซิน” ได้กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญ โดยเป็นจุดอ้างอิงในการประกาศน่านน้ำอาณาเขตจากเกาะโลซินออกไป 200 ไมล์ทะเล ครอบคลุมพื้นที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างก๊าซธรรมชาติ โดยไทยยืนยันว่าได้ก่อสร้างประภาคารติดไฟส่องสว่างไว้บนเกาะหินแห่งนี้เพื่อแสดงอาณาเขตมาเนิ่นนาน อีกทั้งตามอนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ.1958 ที่ไทยเป็นสมาชิกในอนุสัญญาดังกล่าว ได้ระบุความหมายของเกาะว่า คือแผ่นดินที่มีน้ำล้อมรอบ ซึ่งมีความหมายรวมถึงเกาะที่เป็นหิน หรือกองหินโผล่น้ำเข้าไปด้วย โลซินจึงได้กลายเป็นเกาะสุดท้ายของประเทศไทย ที่ทำให้ฝ่ายมาเลเซียต้องยอมจำนน

และที่สุดใน พ.ศ.2522 ไทยและมาเลเซียจึงเจรจาตกลงกำหนดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลดังกล่าว ให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area หรือ JDA) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7,250 ตร.กม. โดยตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารจัดการร่วมกันแล้วแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง เป็นเวลา 50 ปี ซึ่งเมื่อมีการสำรวจขุดเจาะก๊าซธรรมชาติขึ้นมาก็พบว่า แหล่งก๊าซที่มีปริมาณมากถึงราว 75% นั้น อยู่ในซีกพื้นที่ใกล้ชายฝั่งมาเลเซีย แต่ไทยเราได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเพราะการอ้างอาณาเขตจากเกาะโลซินที่เป็นเพียงกองหิน จนหลายคนให้ฉายาเกาะโลซินว่า “กองหินแสนล้าน” ตามมูลค่าของแหล่งก๊าซธรรมชาติ


แหล่งอ้างอิง

  • https://www.dmcr.go.th/
  • https://mgronline.com

กรณีแมนฮัตตัน

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

มูลเหตุ
กรณีแมนฮัตตัน หรือกบฏแมนฮัตตัน หรือกบฏทหารเรือ หรือกบฏ 29 มิถุนา เป็นปฏิกิริยาของฝ่ายทหารเรือที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล และผู้นำกลุ่มทหารบก รวมทั้งการที่รัฐบาลไม่สนับสนุนกิจการของกองทัพเรือเท่าที่ควร ฝ่ายทหารเรือได้เคยวางแผนการที่จะทำการต่อต้านรัฐบาลมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวลงก่อนที่จะได้ปฏิบัติการ จนในที่สุดก็ได้โอกาสเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 ซึ่งยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายทหารเรือ จนทำให้บทบาทและแสนยานุภาพของกองทัพเรือถูกบั่นทอนลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ 3 ประการ คือ

  • ประการที่ 1 ความไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 2 ซึ่งคณะรัฐประหาร พ.ศ.2490 สนับสนุน โดยทหารเรือเห็นว่า รัฐบาลของคณะรัฐประหาร มิได้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง ใช้วิธีเผด็จการโดยปรับปรุงกรมตำรวจให้มีลักษณะเป็น “ กองทัพ ” เพื่อข่มขู่ประชาชน และกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างทารุณและไร้มนุษยธรรม
  • ประการที่ 2 ความตึงเครียดระหว่างทหารบกและตำรวจกับทหารเรือ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างสนับสนุนผู้นำต่างกัน ทหารบกสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทหารเรือสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ส่วนตำรวจนั้นมีปัญหากระทบกระทั่งกับทหารเรืออยู่เสมอ และได้กล่าวหาทหารเรือในเรื่องที่มักให้ผู้กระทำความผิดประเภทใช้อาวุธปล้นจี้หลบซ่อนในเขตทหารเรืออีกด้วย
  • ประการที่ 3 ความเสื่อมโทรมในกองทัพเรือ เพราะรัฐบาลไม่ไว้วางใจและไม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ นับตั้งแต่ครั้งกบฏวังหลวง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 มีการตัดกำลังนาวิกโยธินลง เพราะเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพเรือ โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณมาให้กองทัพเรือไม่เพียงพอที่จะนำมาปรับปรุงกองทัพได้

คณะผู้ก่อการสำคัญ
ผู้ก่อการกบฏที่เป็นผู้นำสำคัญ คือ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ นาวาตรี มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ นาวาตรี ประกาย พุทธารี สังกัดกรมนาวิกโยธิน และนาวาตรี สุภัทร ตันตยาภรณ์ สังกัดกรมนาวิกโยธิน นอกนั้นเป็นทหารชั้นผู้น้อย ส่วนผู้นำฝ่ายอื่น ๆ นั้นก็ได้รับการชักชวนจากทหารเรือที่มียศระดับกลาง ๆ โดยไม่มีการให้คำมั่นเท่าที่ควร จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การกบฏประสบความล้มเหลว

ลำดับเหตุการณ์
คณะผู้ก่อการได้คิดจะก่อการในลักษณะเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สบจังหวะที่เหมาะสม จึงได้แต่เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาลงมือจริง หลายฝ่ายที่ถูกชักชวนให้ลงมือก็คาดว่าจะต้องมีการเลื่อนอีกแน่นอน จึงมิได้ปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้ โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 เวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นวันและเวลาที่ทางราชการ ได้กำหนดให้ประกอบพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนชื่อ แมนฮัตตัน ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกามอบให้รัฐบาลไทยตามโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับมอบ พิธีนี้จัดขึ้นที่ท่าราชวรดิฐ เมื่อประกอบพิธีรับมอบเสร็จแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงครามก็ได้รับเชิญไปชมเรือ ขณะนั้นเอง นายทหารเรือกลุ่มหนึ่งนำโดย นาวาตรี มนัส จารุภา ได้ใช้ปืนกลจี้บังคับให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปลงเรือเปิดหัวที่เตรียมไว้ แล้วนำตัวไปยังเรือหลวงศรีอยุธยา และคุมขังจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไว้ ณ ที่นั้น คณะผู้ก่อการได้ประกาศยืนยันถึงความจำเป็น ที่ต้องทำการครั้งนี้ เพราะการบริหารงานที่เหลวแหลกของรัฐบาล ซึ่งใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์และกดขี่ข่มเหงราษฎร แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากถูกโจมตีก่อน ต่อมาเมื่อถึงเวลา 04.00น. ของวันที่ 30 มิถุนายน การเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีไม่เป็นผลสำเร็จ จึงเกิดการสู้รบกันขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2494 เริ่มจากฝ่ายรัฐบาล โดยกองทัพบกภายใต้การนำของ พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กองทัพอากาศภายใต้การบัญชาของพลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี และกำลังตำรวจโดยพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ การสู้รบแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ทหารบกเริ่มโจมตีจากด้านพระนคร กองทัพอากาศเริ่มทิ้งระเบิดที่กรมอู่ทหารเรือ และตำแหน่งคลังเชื้อเพลิง ระหว่างการสู้รบกันนั้น การเจรจาต่อรองก็ยังคงดำเนินอยู่ จนกระทั่งเวลา 15.00น. เครื่องบินของกองทัพอากาศได้ทิ้งระเบิดเรือหลวงศรีอยุธยา จนกระทั่งไฟลุกไหม้และอับปางลง แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้รับการช่วยเหลือจากทหารเรือให้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ณ ที่ทำการกองทัพเรือ ฝั่งธนบุรี ได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายทหารอากาศยังคงโจมตีต่อไปจนกระทั่งเวลา 17.00 น. เรือหลวงคำรณสินธ์ ซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองคลังน้ำมันอยู่ที่บริเวณกรมอู่ทหารเรืออับปางลงอีกลำหนึ่ง

หลังเหตุการณ์ยุติ
ภายหลังเหตุการณ์ได้ยุติลง รัฐบาลได้ดำเนินการให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปรกติ ทั้งทางด้านความสงบเรียบร้อยของประชาชน การทหาร และตำรวจซึ่งได้รับความเสียหายจากการสู้รบครั้งนี้ รวมทั้งมีการปรับปรุงกองทัพเรือใหม่ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกองทัพเรือจำนวน 12 คน ที่สำคัญ คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พลเอก ผิน ชุณหะวัณ พลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ พลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ ปรากฏว่าคณะกรรมการได้พิจารณาและลดกำลังกองทัพเรือในลักษณะลดทอนแสนยานุภาพ มากกว่าจะเป็นการปรับปรุงเพื่อให้กองทัพเรือมีสมรรถภาพดีขึ้น โดยมีมติดังนี้

  • ประการที่ 1 ให้ยุบกรมนาวิกโยธินที่กรุงเทพ ฯ และสัตหีบทั้งหมด คงเหลือไว้เพียง 1 กองพัน และให้ปลดนายทหารที่เกินอัตราออกให้หมด และปลดนายทหารนาวิกโยธินออก เพื่อมิให้กองทัพเรือมีทหารนาวิกโยธินต่อไปอีก เนื่องจากเป็นกองกำลังที่เข้มแข็ง
  • ประการที่ 2 ให้ย้ายกองบัญชาการกองทัพเรือ จากพระราชวังเดิมไปอยู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อไม่ให้ทหารเรืออยู่ในเขตพระนครและธนบุรี เมื่อกองทัพเรือได้ย้ายออกไปแล้วได้ใช้เป็นสถานศึกษาหรือหน่วยงานฝ่ายพลเรือนต่อไป
  • ประการที่ 3 ให้ย้ายกองเรือรบ ตลอดจนเรือรบในสังกัดทุกลำไปอยู่สัตหีบ และให้เปลี่ยนชื่อกองเรือรบเป็น “ กองเรือยุทธการ ”
  • ประการที่ 4 ให้กองสัญญาณทหารเรือย้ายออกจากศาลาแดงไปอยู่ที่อื่น
  • ประการที่ 5 ให้โอนกองบินทหารเรือที่จุดเสม็ด สัตหีบ ไปเป็นของกองทัพอากาศ เพราะเห็นว่ากองบินไม่จำเป็นสำหรับกิจการของทหารเรือ หากมีความจำเป็น กองทัพอากาศก็สามารถปฏิบัติการแทนได้ หรือใช้ร่วมกันได้
  • ประการที่ 6 ให้ยุบเลิกกองสารวัตรทหารเรือ กรุงเทพฯ
  • ประการที่ 7 ที่ทำการกองเรือรบเดิมที่ท่าราชวรดิฐ ไม่ให้ทหารเรือหรือทหารเหล่าอื่นเข้าอยู่
  • ประการที่ 8 โอนสถานที่ทำการหมวดเรือพระราชพิธีแจวบางส่วนให้ทหารบก โดยให้โอนเฉพาะพื้นที่ติดคลองสำหรับจอดเรือพระราชพิธีแจวพายเท่านั้น
  • ประการที่ 9 สถานที่ของกองพันนาวิกโยธิน 4-5 สวนอนันต์ ถนนอิสรภาพ ไม่ให้ทหารเรือเข้าอยู่ และโอนให้เป็นของทหารบก
  • ประการที่ 10 ให้ยุบมณฑลทหารเรือที่ 1 ที่ครอบคลุมเขตจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม และมณฑลทหารเรือที่ 2 ครอบคลุมเขตจังหวัดจันทบุรี ชลบุรี ระยอง ตราด ซึ่งเป็นการย่อส่วนของกองทัพเรือให้เล็กลงทั้งการปฏิบัติการและกำลังพล พร้อมกันนั้นได้ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ส่วนใหญ่ของทหารเรือไป
เรือหลวงศรีอยุธยา ขณะจมลงหลังถูกทิ้งระเบิดใส่

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่มีอำนาจสั่งการ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2494 คณะรัฐมนตรีและกระทรวงกลาโหมได้มีประกาศและคำสั่งให้นายทหารเรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบพักราชการ และปลดออกจากราชการหลายคน เช่น พลเรือเอก สินธ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือโท หลวงเจริญราชนาวา (เจริญ ทุมมานนท์) รองผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต ผู้บัญชาการกองเรือรบ พลเรือตรี ชลิต กุลกำม์ธร รองผู้บัญชาการกองเรือรบ พลเรือตรี กนก นพคุณ ผู้บังคับการมณฑลทหารเรือที่ 1 พลเรือตรี ประวิศ ศรีพิพัฒน์ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พลเรือตรี ดัด บุนนาค เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือฝ่ายยุทธการ พลเรือตรี ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับการกองสัญญาณทหารเรือ และ พลเรือตรี สงวน รุจิราภา นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ และมีผู้ถูกปลดออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญที่สำคัญ เช่น นาวาเอก อานนท์ บุณฑริกาภา และนาวาตรี มนัส จารุภา นอกจากนี้ ยังมีนายทหารเรืออีกประมาณ 70 นายถูกปลดออก การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้กองทัพเรือไม่มีความเข้มแข็งอีกต่อไป และทหารเรือแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองอีกเลย เหตุการณ์นี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ซึ่งบางคนเรียกว่าเป็น “ สงครามกลางเมือง ” เหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้กองทัพเรือถูกลดแสนยานุภาพลง ถูกจำกัดกำลังคน ถูกลดสถานที่ตั้งและสถานที่ฝึกปฏิบัติการ ตลอดจนลดจำนวนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ลงอย่างมาก บทบาทของกองทัพเรือถูกลดลงอย่างสิ้นเชิง


แหล่งอ้างอิง

  • https://sites.google.com/site/thaipolitichistory
  • https://th.wikipedia.org

ยุทธนาวีที่เกาะช้าง

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

อนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี

ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นเหตุการณ์รบทางเรือ เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจาก กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส กล่าวคือ ในเดือน กันยายน พ.ศ.2483 ขณะที่ฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมัน ฝรั่งเศสขอให้รัฐบาลไทยทำสัญญาไม่รุกรานกันทางแหลมอินโดจีน รัฐบาลได้ตอบฝรั่งเศสไปว่า ไทยยินดีจะรับตกลงตามคำขอของฝรั่งเศส แต่ขอให้ฝรั่งเศสตกลงบางประการ คือ ให้ฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักความยุติธรรม โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้ถือแนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 คืนให้ไทย เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่า ไม่เป็นที่ตกลงกัน  

ต่อมาราษฎรไทยได้เดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนที่เสียไปอย่างหนักและรุนแรงยิ่งขึ้น การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี ฝรั่งเศสได้โจมตีประเทศไทยก่อน โดยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2483 อันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ใช้กำลังทหารเพื่อสู้รบกัน ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ   สำหรับกำลังทางเรือได้มีการรบกันที่บริเวณด้านใต้ของเกาะช้าง ระหว่างกำลังทางเรือของไทยและของฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศส เริ่มรุกรานประเทศไทย กองทัพเรือได้จัดส่งกำลังทางเรือออกไปป้องกันบริเวณ ตำบลคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นชายแดนสุดทางด้านตะวันออก ติดต่อกับเขตอินโดจีนฝรั่งเศส และทำการลำเลียงทหารนาวิกโยธินไปยังจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด โดยจัดให้มีการลาดตระเวนค้นหาข้าศึก เพื่อป้องกันการยกพลขึ้นบกของข้าศึกทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย  

เหตุการณ์ก่อนการรบ   ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2484 กองทัพเรือได้จัดกำลังทางเรือ 1 หมวด ในบังคับบัญชาของนายนาวาโทหลวงพร้อม วีรพันธุ์ ไปปฏิบัติการอยู่บริเวณเกาะช้าง ประกอบด้วยเรือต่างๆ ดังนี้  

  1. เรือหลวงธนบุรี เรือปืนยามฝั่ง ระวางขับน้ำ 2,200 ตัน มีนายนาวาโทหลวงพร้อม วีรพันธุ์ เป็นผู้บังคับการเรือ
  2. เรือหลวงสงขลา เรือตอร์ปิโด ระวางขับน้ำ 470 ตัน มีนายนาวาตรีชั้น สิงหชาญ เป็นผู้บังคับการเรือ
  3. เรือหลวงชลบุรี เรือตอร์ปิโด รุ่นเดียวกับเรือหลวงสงขลา มีนายเรือเอกประทิน ไชยปัญญา เป็นผู้บังคับการเรือ
  4. เรือหลวงระยอง เรือตอร์ปิโด รุ่นเดียวกับเรือหลวงสงขลา มีนายนาวาตรีใบ เทศนะสดับ เป็นผู้บังคับการเรือ
  5. เรือหลวงหนองสาหร่าย ระวางขับน้ำ 460 ตัน มีนายเรือเอกดาวเรือง เพชร์ชาติ เป็นผู้บังคับการเรือ
  6. เรือหลวงเทียวอุทก ระวางขับน้ำ 50 ตัน
เรือหลวงธนบุรี

กำลังทางเรือ 1 หมวด ทำการรักษาการณ์อยู่บริเวณเกาะช้าง หมวดเรือดังกล่าวได้จอดเรือแยกกัน ดังนี้   เรือหลวงสงขลา เรือหลวงระยอง เรือหลวงชลบุรี จอดอยู่ร่วมกัน ด้านใต้เกาะช้าง เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงหนองสาหร่าย เรือหลวงเทียวอุทก จอดอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะง่าม  ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินทะเล ออกทำการลาดตระเวนในบริเวณเกาะช้างและเกาะกูด จังหวัดตราด จำนวน 1 ลำ เกาะเสม็ด ระยอง จำนวน 1 ลำ และ เกาะสีชัง ชลบุรี จำนวน 1 ลำ ในการนี้ ทัพเรือได้สั่งให้เครื่องบินทะเลขึ้นขับไล่  และเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2484 เวลา 06.00 น. ฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินทะเล 1 ลำ ทำการลาดตระเวนบริเวณเกาะช้างอีกครั้ง เพื่อที่จะทำลายอาคารที่เกาะง่าม เครื่องบินทะเลลำนี้มีขนาดใหญ่ ปีกชั้นเดียว 2 เครื่องยนต์ ทาสีบรอนซ์ขาว ครั้งแรก เครื่องบินทะเลลำนี้ ได้บินผ่านเกาะง่ามไปทางเหนือ เข้าใจว่าคงไม่เห็นเรือตอร์ปิโดของไทยจอดอยู่บริเวณนี้ ทำให้หวนกลับลงมาทางใต้ จะบินผ่านเกาะง่าม เพื่อที่จะทำลายอาคารที่นั่น เรือหลวงธนบุรี และเรือหลวงหนองสาหร่าย ซึ่งจอดอยู่ที่เกาะลิ่ม ได้แลเห็นเครื่องบินทะเลลำนี้ แต่มิได้ทำการยิง เพราะอยู่ไกล สุดระยะปืน ก่อนหน้าที่เครื่องบินทะเลข้าศึก จะบินผ่านขึ้นไปทางเหนือ ทหารในเรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรี กำลังหัดกายบริหารตามตารางการฝึกและปฏิบัติหน้าที่ภายหลังการตื่นนอน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันทีของทหารเรือเพื่อให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ครั้นเมื่อได้รับรายงานว่า ได้ยินเสียงเครื่องบินข้าศึก ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ทหารเข้าประจำสถานีต่อสู้อากาศยานทันที ในเวลาไม่ถึง 1 นาที ทหารก็เข้าประจำปืน 75 มม. ปืนกล 20 มม. และปืนกล 8 มม. ตลอดจนปืนเล็กยาว พร้อม ต่อมา จึงได้เห็นเครื่องบินทะเลข้าศึก โผล่ออกมาจากเกาะช้าง มุ่งหน้าไปทางใต้ และทิ้งระเบิดจำนวน 2 ลูก ลงอาคารบนเกาะง่าม แต่มิได้ถูกที่หมาย ระเบิดได้ตกลงน้ำระหว่างช่องแหลมเทียนใต้เกาะช้างกับเกาะง่าม ในขณะนั้นปืนต่อสู้อากาศยานและปืนกลของเรือตอร์ปิโดทั้งสองได้ยิงกระหน่ำออกไปในระยะไม่ถึง 2,000 เมตร กระสุนหลายนัดได้ไประเบิดอยู่รอบ ๆ เครื่องบินทะเล เครื่องบินทะเลได้พยายามบินขึ้นหาระดับสูง แต่ปรากฏว่า ถูกกระสุนที่ปีกขวา และตอนหัวมีไฟลุกไหม้ขึ้นทันที และได้บินถลาต่ำลงมาจนหายไปทางทะเลด้านใต้เกาะหวาย ซึ่งในขณะเดียวกับที่ได้ส่งเครื่องบินทะเลออกทำการลาดตระเวน กำลังทางเรือของข้าศึก ก็ได้อาศัยความมืดรุกล้ำเข้ามาทางด้านใต้เกาะช้าง มีด้วยกันทั้งหมด 5 ลำ เรือเหล่านี้ แยกออกเป็น 3 หมู่ ดังนี้คือ

  • หมู่ที่ 1 ลามอตต์ปิเกต์ ( Lamotte Picquet) เรือลาดตระเวน ระวางขับน้ำ 7,880 ตัน เป็นเรือธง (เรือบัญชาการ) มี นาวาเอกเบรังเยร์ เป็นผู้บังคับการเรือ เข้ามาทาง ช่องทางด้านใต้ของเกาะหวายและเกาะใบดั้ง
  • หมู่ที่ 2 เรือดูมองต์ ดูรวิลล์ (Dumont D’ Urville) เรือสลุป มีนายนาวาเอกตูซาแซงค์ เดอ กิแอฟร์คูรต์ ( CV Toussaint de Quievrecourt) เป็นผู้บังคับการเรือ รวมทั้งเรือในชั้นเดียวกันคือเรืออามิราล ชาร์แบนร์ ระวางขับน้ำ 2,156 ตัน มีนายนาวาโทเลอ คาลเวช์ (CF Le Calvez) เป็นผู้บังคับการเรือ เข้ามาทางช่องด้านใต้ ระหว่างเกาะคลุ้มกับเกาะหวาย
  • หมู่ที่ 3 เรือมาร์น (Marne) เรือช่วยรบ ระวางขับน้ำ 644 ตัน มีนายนาวาตรีเมร์คาดิเอร์ (CC Mercadier) เป็นผู้บังคับการเรือ และเรือตาฮูร์ (Tahure) เรือช่วยรบ ระวางขับน้ำ 600 ตัน มีนายนาวาตรีมารร์ค (CC Marc) เป็นผู้บังคับการเรือ เข้ามาทางช่องด้านตะวันตก ระหว่างเกาะคลุ้มกับแหลมบางเบ้าของเกาะช้าง ส่วนเรือดำน้ำ 1 ลำ และเรือสินค้าติดอาวุธ 1 ลำ คงรออยู่ด้านนอกในทะเล และไม่ได้เข้าทำการรบ  
เรือลามอตต์ปิเกต์ (Lamotte Picquet)

เรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งเป็นเรือนำ ได้เล่นเข้ามาในระยะ 1,200 เมตร จาก เกาะง่าม และได้ระดมยิงอาคารบนเกาะง่าม เรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรีได้ทำการยิงต่อสู้ เรือลามอตต์ปิเกต์ จึงได้เปลี่ยนเป้า มาทำการยิงเรือตอร์ปิโด ทั้งสองทันที กำลังเรือฝ่ายไทย ที่เข้าทำการรบมี 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี จอดอยู่ที่บริเวณเกาะลิ่ม ส่วนเรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรี จอดอยู่ที่อ่าวสลักเพ็ชร กำลังทางเรือฝ่ายข้าศึก ที่เข้าทำการรบ รวมด้วยกัน 7 ลำ เฉพาะเรือลามอตต์ปิเกต์ ลำเดียวมีระวางขับน้ำ 7,880 ตัน ซึ่งมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือรบของเราทั้ง 3 ลำ รวมกัน นอกจากนั้น ก็มีเรือสลุปอีก 2 ลำ ระวางขับน้ำ ลำละ 2,156 ตัน และเครื่องบินอีก 4 ลำ เมื่อเปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองฝ่าย จะเห็นได้ว่า เราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจำนวนเรือ ระวางขับน้ำ จำนวนปืนหนักและปืนเบา และจำนวนทหารประจำเรือ ฝ่ายเราคงได้เปรียบเฉพาะที่ว่า มีปืนหนักที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น แต่เสียเปรียบที่ยิงได้ช้ากว่า  


การรบระหว่างเรือหลวงธนบุรีกับเรือลามอตต์ปิเกต์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากได้มีการปะทะกันระหว่างเรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรีกับเรือรบฝรั่งเศสแล้ว โดยในตอนเช้าตรู่ ของวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2484 ขณะที่เรือหลวงธนบุรี กำลังฝึกหัดศึกษาตามปกติอยู่นั้น ประมาณ 06.12 น. ยามสะพานเดินเรือ ได้เห็นเครื่องบินข้าศึก 1 เครื่อง บินมาทางเกาะกูด ผ่านเกาะกระดาด มาตรงหัวเรือ ทางเรือจึงได้ประจำสถานีรบ แต่ยังมิได้ทำการยิง เพราะอยู่ไกลสุดระยะปืน และเครื่องบินทะเลข้าศึก ได้บินเลี้ยวไปทางเกาะง่าม ตรงบริเวณเรือตอร์ปิโด ทั้ง 2 ลำ ฝ่ายเราจอดอยู่ และทันใดนั้น ทหารทุกคนก็ได้ยินเสียงปืนจากเรือตอร์ปิโดทั้ง 2 ลำ นั้น คือ เรือหลวงสงขลา และ เรือหลวงชลบุรี ทำการยิงสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึก โดยทุกคนได้เห็นกลุ่มควันของกระสุน ระเบิดในอากาศ อยู่ล้อมรอบเครื่องบินทะเลและเครื่องบินก็ลับหายไป จากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นอย่างถี่ ยามสะพานเดินเรือได้รายงานว่า เห็นเรือข้าศึกทางใต้เกาะช้าง โดยยามมองตรงช่องระหว่างเกาะช้างกับเกาะไม้ซี้ใหญ่ เรือที่เห็นนี้ คือ ลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งกำลังระดมยิงเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี อยู่นั่นเอง ลักษณะอากาศในขณะนั้นปรากฏว่า มีเมฆในระยะขอบฟ้า พื้นทะเลมีหมอกบาง ๆ ลมตะวันตกเฉียงใต้ กำลัง 1 ไม่มีคลื่น ทัศนวิสัย 6 ไมล์ อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิ 27 °C นาวาโทหลวงพร้อม วีรพันธุ์ ผู้บังคับการเรือได้สั่งเดินหน้าเต็มตัว 2 เครื่อง ความเร็ว 14 นอต ถือเข็มประมาณตะวันตกเฉียงใต้ เข้าหาข้าศึก และได้สั่งเตรียมรบกราบขวาที่หมายเรือลาดตระเวนข้าศึก เวลาประมาณ เวลา 06.40 น. ขณะที่เรือหลวงธนบุรี ได้ตั้งลำพร้อม เรือลามอต์ปิเกต์ ก็โผล่จากเกาะไม้ซี้ใหญ่ และเป็นฝ่ายเริ่มยิงเราก่อนทันที เรือหลวงธนบุรีได้เริ่มยิงตับแรกด้วยป้อมหัวและป้อมท้ายโดยตั้งระยะ 13,000 เมตร ทันใดนั้นเอง กระสุนตับที่ 4 ของเรือลามอต์ปิเกต์ มีนัดหนึ่งเจาะทะลุผ่านห้องโถงนายพลและระเบิดทะลุพื้นหอรบขึ้นมา เป็นเหตุให้ น.ท.หลวงพร้อม วีรพันธุ์ และทหารในหอรบอีกหลายนายต้องเสียชีวิตในทันที และอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บ สาหัส เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดและถูกไฟลวกตามหน้าและตามตัว กระสุนนัดนี้เอง ได้ทำลายเครื่องติดต่อสั่งการไปยังปืนและเครื่องถือท้ายเรือ เรือซึ่งกำลังเดินหน้าด้วยความเร็ว 14 นอต ได้แล่นหมุนเป็นวงกว้าง อยู่หลายรอบ ซึ่งในขณะนี้เอง เรือลามอต์ปิเกต์ ได้ระดมยิงเรือหลวงธนบุรี อย่างหนัก ปืนป้อมทั้ง 2 ของเรือหลวงธนบุรีต้องทำการยิงอิสระ โดยอาศัยศูนย์ข้างและศูนย์ระยะที่หอกลาง อย่างไรก็ตามปรากฏว่า เรือลามอต์ปิเกต์ ได้ถูกกระสุนปืนจากเรือหลวงธนบุรีเช่นกัน โดยมีแสงไฟจากเปลวระเบิด และควันเพลิงพุ่งขึ้นบริเวณตอนกลางลำ จนจำต้องล่าถอยมารวมกำลังกับหมู่เรือฝรั่งเศสอีก 4 ลำ ทางตะวันตกของเกาะเหลาใน และแล่นหนีไปในที่สุด เมื่อเรือของฝรั่งเศส ได้ไปจากสนามรบหมดแล้ว ก็ปรากฏว่า ได้มีเครื่องบินลำหนึ่ง บินมาทางหัวเรือและดำทิ้งระเบิด ระยะต่ำ จำนวน 2 ลูก ลูกระเบิดตกบนดาดฟ้าเรือโบทหลังห้องครัวทหาร ทำให้ทหารตายอีก 3 นาย ทางเรือไม่ได้ยิงต่อสู้ประการใด เพราะเครื่องบินลำนั้นมีเครื่องหมายไทยติดอยู่ (เครื่องบินกองทัพอากาศ)เวลา 03.30 น. เรือหลวงธนบุรี แล่นไปทางแหลมน้ำ ไฟลุกทั่วไปในช่องทางเดิน ต้นเรือ ( นายทหารอาวุโสที่สองรองจากผู้บังคับการเรือ ) พาเรือมาทางแหลมงอบ เรือเอียงทางกราบขวาและต่อมาก็หยุดแล่น เรือหลวงช้างได้เข้าช่วยดับไฟและจูงเรือธนบุรีไปจนถึงหน้าแหลมงอบ เพื่อเกยตื้น และต้นเรือได้สั่งสละเรือใหญ่ เมื่อเวลา 11.00 น. ต่อมาเวลาประมาณ 16.40 น. กราบเรือทางขวาก็เริ่มตะแคง เอนลงมากขึ้นตามลำดับ เสาทั้งสองเอนลงน้ำ กราบซ้ายและกระดูกงูกันโครงโผล่อยู่พ้นน้ำ

ผลการรบ

  • ฝ่ายไทยเสียเรือรบไป 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี ทหารเสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 36 นาย เป็นนายทหาร 2 นาย พันจ่า จ่า พลทหารและพลเรือ 34 นาย แบ่งเป็นทหารประจำเรือหลวงธนบุรี 20 นาย (รวมนาวาเอก หลวงพร้อมวีระพันธ์ ผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรีด้วย) เรือหลวงสงขลา 14 นาย และเรือหลวงชลบุรี 2 นาย เฉพาะเรือหลวงธนบุรีนั้น ต่อมากองทัพเรือไทยได้กู้ขึ้นมาเพื่อทำการซ่อมใหญ่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2484 แต่เนื่องจากเรือเสียหายหนักมาจึงได้ปลดระวางจากการเป็นเรือรบและใช้เป็นกองบังคับการลอยน้ำของกองเรือตรวจอ่าว กองเรือยุทธการ จนกระทั่งปลดประจำการในปี พ.ศ. 2502 หลังจากนั้นทางราชการจึงได้นำส่วนป้อมปืนเรือและหอบังคับการของเรือหลวงธนบุรีมาจัดตั้งเป็นอนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี บริเวณโรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ และได้กำหนดให้ วันที่ 17 มกราคม ของทุกปี เป็น “วันสดุดีวีรชนกองทัพเรือ” นอกจากนี้ ทางจังหวัดตราด ได้จัดงานวันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง ขึ้นเช่นเดียวกัน โดยจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2531 ณ บริเวณอนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง และพิธีลอยพวงมาลา ณ บริเวณสถานที่เกิดเหตุการณ์ เพื่อระลึกถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของทหารเรือไทย ที่ได้สละชีวิตในการปกป้องประเทศชาติและอธิปไตยของไทยให้คงอยู่สืบไป
  • ฝ่ายฝรั่งเศส แม้จะไม่เสียเรือรบลำใดเลยก็ตาม แต่เรือธงลาม็อต-ปีเกนั้นก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน ส่วนจำนวนทหารที่เสียชีวิต และบาดเจ็บนั้น การข่าวของฝ่ายไทยไม่ทราบจำนวนแน่นอน แต่มีรายงานว่าเมื่อเรือข้าศึกกลับถึงไซ่ง่อน ได้มีการขนศพทหารที่เสียชีวิต และทหารที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นบกกันตลอดคืน ขณะที่ฝ่ายฝรั่งเศสอ้างว่าไม่มีความสูญเสียแต่อย่างใด แต่ฝ่ายไทยกลับยืนยันว่าเรือลาม็อต-ปีเกถูกเรือหลวงธนบุรียิงเข้าอย่างจัง จนสังเกตได้ว่ามีไฟลุกอยู่ตอนท้ายเรือ และลำเรือตอนท้ายนั้นแปล้น้ำมากกว่าปกติ โดยอ้างตามคำให้การของทหารเรือที่รอดชีวิตและชาวประมงที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่การรบนี้ ได้มีบันทึกต่อมาว่า ภายหลังกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดจีนจากฝรั่งเศส เรือลาม็อต-ปีเกได้เดินทางไปยังนครโอซะกะ จักรวรรดิญี่ปุ่น เพื่อซ่อมบำรุงเรือในเดือนกันยายน พ.ศ. 2484 หลังจากนั้นจึงได้ปลดเป็นเรือฝึกเมื่อเดือนธันวาคมปีเดียวกัน และถูกจมโดยเครื่องบินสังกัดกองเรือเฉพาะกิจที่ 38 ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2488

แหล่งอ้างอิง

  • https://pr.prd.go.th
  • https://th.wikipedia.org

กรณีพิพาท ไทย-ฝรั่งเศส ร.ศ.112

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ฝรั่งชาติตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลสำคัญทางแถบเอเชียมากขึ้น ซึ่งมีจุดประสงค์ที่สำคัญคือ การแสวงหาอาณานิคมประเทศต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญวน เขมร ลาว ได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ส่วนประเทศพม่าและมลายูตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และเหตุผลที่ไทยต้องยอมตามคำขาดของฝรั่งเศสอย่างเกือบสิ้นเชิง ก็เพราะอังกฤษปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเพราะต้องการให้ไทยเป็นรัฐกันชนของตนกับฝรั่งเศส จึงไม่ต้องการบาดหมางกับฝรั่งเศส โดยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินการเช่นเดียวกับพระราชบิดา คือ ทรงยอมรับว่าถึงเวลาแล้ว ที่ไทยจะต้องผูกสัมพันธไมตรี กับพวกฝรั่งต่างชาติ และจากการที่พระองค์ได้เสด็จประพาสต่างประเทศหลายครั้ง จึงทรงนำเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ทรงพบเห็นมาปรับปรุงประเทศชาติ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือของพวกฝรั่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการรุกรานของพวกฝรั่งชาติตะวันตกได้ โดยเฉพาะชาติอังกฤษและฝรั่งเศส

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ประเทศทั้งสองรวม 5 ครั้ง และจากกรณีการรบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อ ร.ศ.112 นั้น ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไป ทั้งลาวและเขมร ซึ่งเคยเป็นประเทศราชของไทยนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์

การเสียดินแดนให้ชาติตะวันตก

ความรุนแรงเริ่มขึ้น จากในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 เมอสิเออร์ เดอลองคล์ (M.deloncle) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ได้เสนอต่อรัฐสภาฝรั่งเศส เร่งรัดให้ รัฐบาลฝรั่งเศสใช้กำลังกับไทยในปัญหาเขตแดน ซึ่งเคยเป็นของญวนและเขมร จากนั้นฝรั่งเศสก็ได้ยกกำลังทหาร เข้ามาประชิดฝั่งซ้ายของลำแม่น้ำโขง และส่งเรือปืนลูแตง (Lutin) เข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อต้นปี พ.ศ.2436 โดยอ้างว่า เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของฝรั่งเศสที่มีอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลไทยจำต้องยินยอม แต่เหตุการณ์มิได้ยุติลงเพียงนี้ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลฝรั่งเศสได้ขออนุญาตต่อรัฐบาลไทยขอนำเรือปืน 2 ลำ คือ เรือแองคองสตังค์ (Inconstant) และเรือโคแมต (Comete) เข้ามายังประเทศไทย รวมกับเรือลูแตงที่มาประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว 3 ลำ รัฐบาลไทยได้พิจารณาเห็นว่าการที่ต่างประเทศนำเรือของตน เข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพ ฯ เกิน 1 ลำ เป็นสิ่งที่ไม่น่าปลอดภัยสำหรับประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงตอบปฏิเสธฝรั่งเศสไป พร้อมด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางฝ่ายไทยก็ได้เตรียมการป้องกันตนเอง และมอบหมายให้กองทัพเรือ เตรียมกำลังป้องกันการล่วงล้ำอธิปไตย โดยมี นายพลเรือจัตวาพระยาชลยุทธโยธินทร์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการป้องกันปากน้ำเจ้าพระยา ได้วางแผนปฏิบัติการ ป้องกันการบุกรุกของกองเรือรบ ฝรั่งเศสที่ปากน้ำเจ้าพระยา

การรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา 13 กรกฎาคม ร.ศ.112 (พ.ศ.2436)

กองทัพเรือได้ส่งเรือรบจำนวนหนึ่งมาคอยป้องกันการล่วงล้ำจากฝ่ายศัตรู ร่วมกับป้อมปืนที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทหารเรือไทยและป้อมปืนได้พยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากยังเป็นกองทัพเรือที่สร้างขึ้นใหม่ องค์บุคคลและอาวุธยุทโธปกรณ์ยังไม่พร้อม เรือรบฝรั่งเศสจึงตีฝ่าผ่านเข้าไปถึงกรุงเทพฯ นครหลวงของไทยได้โดยง่าย โดยการป้องกันของฝ่ายไทยมีดังนี้

  • ให้ป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมฝีเสื้อสมุทร ซึ่งติดตั้งปืนอาร์มสตรอง ขนาด 6 นิ้ว เตรียมพร้อม เพื่อจะหยุดยั้งการบุกรุกของเรือรบฝรั่งเศส
  • ให้เรือรบ 9 ลำ เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านเหนือของป้อมพระจุลจอมเกล้า โดยเรือที่วางกำลัง ป้องกันเหล่านี้ ส่วนมากเป็นเรือล้าสมัย หรือ เรือกลไฟ ซึ่งเรือประจำในแม่น้ำมีเรือที่ทันสมัยอยู่เพียง 2 ลำ คือ เรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์
  • วางเครื่องกีดขวางที่ปากน้ำเจ้าพระยา เช่น ตาข่าย สนามทุ่นระเบิด และสนามยิง ตอร์ปิโด เป็นต้น


ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ คือ เรือสลุปแองคองสตังค์ และเรือปืนโคแมต ได้รุกล้ำสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามายังกรุงเทพ ฯ โดยมี เรือ เจ. เบ. เซย์ (Jean Baptist Say) เรือสินค้าเป็นเรือนำร่อง หมู่ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ได้ยิงด้วยนัดดินเปล่าเพื่อเป็นการเตือนเรือรบฝรั่งเศส ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ในที่สุดต่างฝ่ายก็ระดมยิงโต้ตอบกันเรือรบไทยที่จอดอยู่เหนือ ป้อมพระจุลจอมเกล้าต่างก็ระดมยิงไปยังเรือรบฝรั่งเศส การรบได้ดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษก็ยุติลง เพราะความมืด เป็นอุปสรรค เรือแองคองสตังต์ และเรือโคแมต สามารถตีฝ่าแนวป้องกันที่ปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ และเทียบท่าอยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ส่วนเรือนำร่อง ถูกยิงเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง

เปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองฝ่าย

ก. ฝ่ายฝรั่งเศส

  • เรือสลุปแองคองสตังค์ ระวางขับน้ำ 825 ตัน ความเร็ว 13 นอต ปืนใหญ่14 ซม. 3 กระบอก ปืนใหญ่ 10 ซม. 1 กระบอก ปืนกล 37 มม. 5 กระบอก มีนายนาวาโท โบรี (Bory) เป็น ผู้บังคับการเรือ และผู้บังคับหมู่เรือ
  • เรือปืนโคแมต ระวางขับน้ำ 495 ตัน ปืนใหญ่ 14 ซม. 2 กระบอก ปืนใหญ่ 10 ซม. 2 กระบอก ปืนกล 37 มม. 2 กระบอก มีนายเรือเอก หลุยส์ ดาร์ติช ดู ฟูร์เนต์ (Louis Dartige du Fournet) เป็นผู้บังคับการเรือ

ข. ฝ่ายไทย
มีนายพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้อำนวยการ ป้องกันปากน้ำ เจ้าพระยา

  • เรือปืน มกุฎราชกุมาร ระวางขับน้ำ 609 ตัน ความเร็ว 11 นอต อาวุธประจำเรือ ใน พ.ศ.2436 ยังไม่ทราบชัด ฝ่ายฝรั่งเศส บันทึกว่า มีปืนใหญ่ บรรจุ ปากกระบอก 15 ซม. 1 กระบอก ปืนใหญ่ บรรจุปากกระบอก 12 ซม. 5 กระบอก ปืนกล 3 กระบอก มี นายนาวาโท กูลด์แบร์ก (Commander V. Guldberg) เป็นผู้บังคับการเรือ มิสเตอร์ สมาร์ท (Mr. W. Smart) เป็นต้นกลเรือ
  • เรือปืน มูรธาวสิตสวัสดิ์ ระวางขับน้ำ 250 ตัน ปืนใหญ่ อาร์มสตรองบรรจุ ปากกระบอก 70 ปอนด์ 1 กระบอก ปืนใหญ่บรรจุ ปากกระบอก 10 ซม. 4 กระบอก ปืนกล 1 กระบอก มี นายเรือเอก คริสต์มาส (Lieutenant W.Christmas) เป็นผู้บังคับการเรือ มิสเตอร์ แคนดุตตี (Mr. G. Candutti) เป็นต้นเรือ
  • เรือหาญหักศัตรู เรือป้อม ระวางขับน้ำ 120 ตัน ความเร็ว 7 นอต ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 15 ซม. 1 กระบอก ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 12 ซม. 1 กระบอก มีนายเรือเอกสมีเกโล (Lieutenant S. Smiegelow) เป็นผู้บังคับการเรือ
  • เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือราชการ ระวางขับน้ำ 260 ตัน ปืนใหญ่บรรจุ ปากกระบอก 10 ซม. 6 กระบอก มีนายทหารไทย เป็นผู้บังคับการเรือ
  • เรือทูลกระหม่อมเรือฝึก (เรือใบ) ระวางขับน้ำ 475 ตัน ปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก 10 ซม. 6 กระบอก มีนายทหารไทย เป็นผู้บังคับการเรือ
  • ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนใหญ่อาร์มสตรอง บรรจุท้าย 15 ซม. 7 กระบอก มี นายร้อยเอก ฟอนโฮลค์ (Captain C. von Holck) เป็นผู้บังคับการ
  • ป้อมฝีเสื้อสมุทร ปืนใหญ่อาร์มสตรอง บรรจุท้าย 15 ซม. 3 กระบอก มี นายร้อยเอก เกิตส์เช (Captain T.A. Gottsche) เป็นผู้บังคับการ
  • เรือวางทุ่นระเบิด มี นายร้อยเอก เวสเตนโฮลซ์ (Captain Westenholz) เป็นผู้อำนวยการ

ความเสียหายภายหลังการรบ

  • ทหารฝรั่งเศส ตาย 3 คน บาดเจ็บ 3 คน
  • ทหารไทยตาย 8 คน และบาดเจ็บ 40 คน
ภาพจากหนังสือพิมพ์ Le Petit Parisien สื่อของฝรั่งเศส
เรือรบฝรั่งเศสขณะมุ่งสู่ปากน้ำเจ้าพระยา เล็งปืนใหญ่เข้าหาพระสมุทรเจดีย์

ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว ไทยกับฝรั่งเศสได้ยุติการสู้รบกันเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องเขตแดน ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และเป็นเหตุให้ไทยเราต้องเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสเป็นเนื้อที่จำนวนมากมาย โดยที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำรงไว้ซึ่งเอกราช และอธิปไตยของไทย และจากเหตุการณ์การสู้รบครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่า การว่าจ้างชาวต่างประเทศ เป็นผู้บังคับการเรือ และป้อมนั้นไม่เป็นหลักประกันพอ ที่จะรักษาประเทศได้ สมควรที่จะต้องบำรุงกำลังทหารเรือ ไว้ป้องกันภัยด้านทะเล และต้องใช้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศทั้งหมด และการที่จะให้คนไทย ทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศ ได้นั้นต้องมีการศึกษาฝึกหัดเป็นอย่างดี จึงจะใช้การได้จึงทรงส่ง พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ออกไปศึกษาวิชาการ ทั้งใน ด้านการปกครอง การทหารบก ทหารเรือ และอื่น ๆ ในทวีปยุโรป


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.addsiam.com
  • https://e-journal.sru.ac.th

คอคอดกระ

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

คอคอดกระหรือคลองไทย เป็นแนวความคิด การขุดคลองเชื่อมต่ออ่าวไทยกับทะเลอันดามันมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยวิศวกรชาวฝรั่งเศสได้ทำการสำรวจภูมิประเทศและลงความเห็นว่า อาจปรับเส้นทางน้ำที่มีอยู่แล้วทะลุไปตะนาวศรีและมะริดได้ ซึ่งเป็นแนวความคิดแรกในการสร้างทางน้ำเชื่อมระหว่างทะเลทั้งสองภูมิภาคในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย

จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ในการควบคุมชายฝั่งทั้งสองของไทย และป้องกันการคุกคามจากศัตรู เมื่อเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม การขุดคลองผ่านก็ยังถูกพูดถึงเรื่อยมา และบางครั้งก็มีอธิปไตยของชาติเป็นเดิมพัน เช่น การที่รัฐบาลอังกฤษกดดันไม่ให้รัฐบาลสยามขุดคลอง เช่นเมื่อปี พ.ศ. 2437 มอริซ เดอ บันเซน (Maurice de Bunsen) ทูตอังกฤษเดินทางมายังกรุงเทพมหานครโดยได้รับคำสั่งว่า อังกฤษไม่อาจปล่อยให้มีอำนาจจากต่างชาติ (ฝรั่งเศส) เข้ามาแทรกแซงดินแดนสยามในคาบสมุทรมลายูได้ และ De Bunsen ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลว่าควรป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสพยายามสร้างคลองข้ามคอคอดกระ

สำหรับคอคอดกระ หรือ กิ่วกระ เป็นส่วนที่แคบที่สุดของคาบสมุทรมลายูอยู่ในเขตบ้านทับหลี ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง กับ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ประมาณกิโลเมตรที่ 545 ของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ห่างจากเขตเทศบาลเมือง 66 กิโลเมตร คอคอดกระ มีระยะทางจากฝั่งทะเลตะวันตกจรดฝั่งตะวันออกกว้างเพียง 50 กิโลเมตร

จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยสามารถหลีกเลี่ยงการตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามได้และทำสัญญาสันติภาพกับอังกฤษโดยอังกฤษตั้งข้อแม้ว่า “รัฐบาลสยามรับปากว่าจะไม่มีคลองเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและอ่าวสยาม” หรือถ้าจะขุดต้องได้รับอนุญาตจากอังกฤษเสียก่อน

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 นายปรีดี พนมยงค์ได้เสนอให้ขุดคลองอีกครั้ง แต่ยังคงไม่มีการขุดคลองแต่อย่างใดจวบจนปัจจุบัน ซึ่งมีหลายเหตุผลคัดค้านรวมถึงไม่ต้องการให้ประเทศไทยแยกออกเป็นสองส่วน ผนวกกับประเทศสิงคโปร์กลัวจะเสียผลประโยชน์ด้วย จนมาถึงปี พ.ศ. 2540 ช่วงที่ประเทศไทยเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ โครงการขุดคอคอดกระ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความฝันในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ มีความพยายามรื้อฟื้นเรื่องคอคอดกระมาอีก แต่โครงการก็ต้องถูกพับไป เนื่องจากใช้งบประมาณมหาศาล และความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการแทบจะไม่มีเลย และหลังจากรัฐบาลไทยรักไทย เข้ามาบริหารประเทศระหว่างปี 2544-2549 ก็ได้ให้น้ำหนักกับโครงการ “แลนด์บริดจ์” มากกว่าโครงการขุดคลองผ่านคอคอดกระ


อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ.2544 วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ และผลการศึกษาที่รายงานต่อที่ประชุมมีสาระสำคัญให้เรียกชื่อคลองว่า “คลองไทย” ซึ่งบริเวณที่ขุดมิใช่คอคอดกระ เพราะเหตุผลทางวิศวกรรมศาสตร์ คือ สภาพพื้นที่ที่ต้องขุดที่คอคอดกระนั้นเป็นหินและภูเขาความมั่นคงเนื่องจากบริเวณคอคอดกระอยู่ที่ชายแดนพม่าปากแม่น้ำกระบุรี โดยบริเวณที่วุฒิสภาเห็นว่ามีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์สูงสุดในการขุดคลองไทย คือ เส้นทาง 9A ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสงขลา ระยะทาง 120 กิโลเมตร

แนวความคิดในการขุดคอคอดกระมีการนำเสนอและปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยมีอยู่ด้วยกัน 12 แนว ทั้งนี้ หน่วยงาน องค์กร และแนวต่างๆ ที่สำคัญตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516-2548 สรุปแนวโน้มที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือแนว 5A (จากการศึกษาของบริษัท TAMS) และแนว 9A (จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) วุฒิสภา ชุดปี พ.ศ.2544 ศึกษาแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2548 ทั้งนี้การศึกษาของบริษัท Tippetts-Abbett-McCarthy-Stratton หรือ TAMS มักถูกหยิบยกขึ้นมาดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถือว่าเป็นผลการศึกษาที่เป็นระบบมากที่สุดครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งได้นำเสนอต่อรัฐบาลในช่วงปี พ.ศ. 2516 โดย TAMS ได้ทำการศึกษา 10 แนว โดยระบุว่า แนว 5 A มีความเป็นไปได้มากที่สุด ในการขุดคลองช่องทางเดียวขนาดความลึก 33.5 ม. กว้าง 490 ม. ยาว 107 กม. สามารถให้เรือขนาด 500,000 ตัน (หรือ 250,000 ตัน) แล่นผ่านได้ โดยใช้วิธีขุดแบบปกติหรือใช้นิวเคลียร์บางส่วน ปากคลองสามารถพัฒนาท่าเรือและอุตสาหกรรมทั้งสองด้านของท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางขนถ่ายในภูมิภาคใกล้เคียงได้ โดยประมาณการงบประมาณไว้ที่ 22,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ตามค่าเงินในขณะนั้น) และข้อเสนอนี้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำมาประมวลผลศึกษาและคำนวณค่าใช้จ่ายใหม่ในปี 2541 พบว่ามูลค่าการลงทุนจะสูง 500,000-810,000 ล้านบาท (ตามค่าเงินในขณะนั้น)

ในขณะที่เส้นทางขุดคลองไทย (หรือแนว 9A) ผ่านจังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพัทลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา โดยขุดคลองเชื่อมระหว่างฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทย ความยาว 120 กิโลเมตร ลึก 35 – 40 เมตร ลักษณะเป็นคลองคู่ขนาน ไปหนึ่งคลอง/กลับหนึ่งคลอง ความกว้างประมาณ 300 – 350 เมตร จุดกลับเรือกว้าง 500 เมตร ซึ่งเส้นทาง 9A จะตัดผ่านพรุควนเคร็งซึ่งมีทะเลสาบซึ่งตามหลักวิชาการแล้วทะเลสาบจะช่วยลดแรงกระแทกจากคลื่นสูงๆ ของเรือ ทั้งนี้หลักการและเหตุผลในการสร้าง 2 คลองเพื่อต้องการรองรับเรือขนาด 500,000 ตัน ส่วนใหญ่เป็นเรือขนน้ำมันมีความกว้าง 60-80 เมตร ลึก 30-35 เมตร เรือกินน้ำลึกต้องสร้างคลองเผื่อไว้ เพราะถ้ามีคลองเดียวเมื่อเกิดอุบัติเหตุเรือแตกและจอด สามารถเปลี่ยนมาใช้คลองเดียวร่วมกันได้ ค่าใช้จ่ายในการขุดคลองไทยและการลงทุนเงินที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมดเกือบจะเป็นเงินบาทที่ใช้ในประเทศไทยทั้งสิ้น รวมค่าก่อสร้างทั้งหมดโดยประมาณการคร่าวๆ คิดเป็นเงินประมาณ 650,000 ล้านบาท ซึ่งวิธีการสร้างคลองไทยนั้นให้บริษัทที่มีเครื่องมือทันสมัยในประเทศไทยขุดคลองไทย ระยะ 120 กิโลเมตร จำนวน 120 บริษัท โดยรับผิดชอบบริษัทละ 1 กิโลเมตร จำนวนเงินกิโลเมตรละ 5,000 ล้านบาท ขุดคลองพร้อมกันทุกจุดรวมระยะเวลา 5 ปี ขุดได้สำเร็จแต่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดีเหมือนกันทุกกิโลเมตรและมีมาตรฐานเดียวกัน

โครงการขุดคอคอดกระของไทย เพราะหากขุดสำเร็จคลองแห่งนี้จะเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเดินเรือของโลก และที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามผลักดันอย่างหนักให้โครงการนี้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เบลธ์แอนด์โรด (Belt and Road) หรือเส้นทางสายไหมใหม่ ที่จะช่วยร่นระยะทางเดินเรือในปัจจุบันได้กว่า 1,200 กิโลเมตร หรือ 3 วัน นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดีย ออสเตรเลีย และสหรัฐ สนใจสนับสนุนโครงการขุดคอคอดกระของไทยด้วย


แหล่งอ้างอิง

  • https://www.terrabkk.com
  • http://www.thai-canal.com

Copyright © 2025 Seafarer Library

Theme by Anders NorenUp ↑