Category: Uncategorized

พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท 2559

⇧ กฏหมายทางทะเล

เนื่องจากประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งได้กระทำกัน ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 เพื่อร่วมมือกับประเทศภาคีอื่น ๆ ควบคุมการผลิตการขาย การนำเข้า การส่งออก การนำผ่านหรือการมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาททั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ มิให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของบุคคลและสังคม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฉบับ พ.ศ. 2518 ขึ้น


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้

  • พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528
  • พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535
  • พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543
  • ปี พ.ศ.2559 ได้ยกเลิก พ.ร.บ.ฉบับที่ 1,2,3,4 และได้ใช้ พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 แทน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ 2522

⇧ กฏหมายทางทะเล

เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ได้ใช้บังคับมานานแล้ว และมีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมกับกาลสมัย สมควรปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้การปราบปราม และควบคุมยาเสพติดให้โทษเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยยาเสพติดให้โทษซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกอยู่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้

  • พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528
  • พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2530
  • พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543
  • พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
  • พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 2519

⇧ กฏหมายทางทะเล

ยาเสพติดเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายที่จะป้องกันและปราบปรามการค้าและการเสพยาเสพติดอย่างเข้มงวดกวดขัน ในการนี้จำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการและให้อำนาจในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามให้ได้ผลโดยเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้

  • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534
  • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543
  • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2545
  • พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติ พ.ศ. 2545
  • ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 109/2557

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.กฎอัยการศึก 2457

⇧ กฏหมายทางทะเล

ด้วยกฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเป็นพระราชบัญญัติไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 (ร.ศ. 126) นั้น อำนาจเจ้าพนักงานฝ่ายทหารที่จะกระทำการใดๆ ยังไม่ตรงกับระเบียบพิชัยสงครามในสมัยนั้น ซึ่งเมื่อมีความจำเป็น และให้ความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมีมาจากภายนอก หรือเกิดขึ้นภายในได้โดยสะดวก สมควรแก้ไขกฎอัยการศึกและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับกาลสมัย จึงมีการยกเลิกกฎอัยการศึก พ.ศ. 2450 (ร.ศ.126) นั้นเสีย และให้ใช้กฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเป็นพระราชบัญญัติขึ้นใหม่นี้แทน


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้

  • พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 พุทธศักราช 2485
  • พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2487
  • พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 พุทธศักราช 2488
  • พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2502
  • ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 303 พ.ศ. 2515

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.เรือไทย 2481

⇧ กฏหมายทางทะเล

พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมเรือไทย เนื้อหาประกอบด้วย การจดทะเบียนเรือไทย ใบทะเบียนเรือไทย การโอนกรรมสิทธิ์เรือ การจำนองและบุริมสิทธิ์อันเกี่ยวกับเรือไทยที่ได้จดทะเบียนแล้ว ชื่อเรือ การเปลี่ยนแปลงเรือ การเปลี่ยนเมืองท่าขึ้นทะเบียน การจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลง และการจดทะเบียนใหม่ ตลอดจนสิทธิหน้าที่พิเศษของเรือไทย


ต่อมาได้มีราชกิจจาแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้ (ปัจจุบันเป็นแก้ไขเพิ่มเติม 2560)

  • ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 162 พ.ศ. 2515
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2517
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2521
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2534
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2540
  • พระราชบัญญัติเรือไทย (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล 2530

⇧ กฏหมายทางทะเล

เนื่องจากในปัจจุบันนี้มีการผลิตปิโตรเลียมในทะเล ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย สมควรให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือไทยมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการป้องกันและระงับการกระทำ ที่เป็นการก่อวินาศกรรมสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีปดังกล่าว และมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นเพื่อส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดำเนินการต่อไป  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


ต่อมาได้มีราชกิจจาแก้ไขเพิ่มเติมออกมา คือ

  • พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด 2534

⇧ กฏหมายทางทะเล

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด จึงให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และให้ชื่อว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด พ.ศ. 2534”



แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th

พ.ร.บ.ให้อำนาจทหารเรือปราบปรามการกระทำผิดบางอย่างทางทะเล 2490

⇧ กฏหมายทางทะเล

โดยที่เป็นการสมควรจัดให้การปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการลักลอบนำข้าวและสินค้าอื่นบางอย่างออกทางทะเลได้ผลดี ยิ่งขึ้น พระมหากษัตริย์โดยความเห็นชอบของรัฐสภา จึงมีพระบรมราช โองการให้ตราพระราชบัญญัติให้อำนาจทหารเรือปราบปรามการกระทำความผิดบางอย่างทางทะเลขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2490


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้ (ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 4) 

  • พระราชบัญญัติให้อำนาจทหารเรือปราบปรามการกระทำความผิดบางอย่างทางทะเล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 
  • พระราชบัญญัติให้อำนาจทหารเรือปราบปรามการกระทำความผิดบางอย่างทางทะเล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2525 
  • พระราชบัญญัติให้อำนาจทหารเรือปราบปรามการกระทำความผิดบางอย่างทางทะเล (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2534

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th

พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456

⇧ กฏหมายทางทะเล

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งที่ทำการของกรมที่ตึกเจ้าสัวเส็งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างตลาดน้อย ตรงข้ามปากคลองสาน (คือที่ตั้งของกรมเจ้าท่าในปัจจุบัน) ใน พ.ศ. 2439 ได้ยกฐานะเวรท่าเป็นกรมเจ้าท่า และทรงแต่งตั้ง ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์ เป็นเจ้ากรมเจ้าท่า ก่อนย้ายสังกัดกรมเจ้าท่าไปขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล ต่อมา กรมเจ้าท่าได้ยกฐานะเป็น กรมชั้นอธิบดี และทรงได้มีการตราพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) และในปีนี้เอง ได้มีการปรับปรุงกิจกรรมกรมเจ้าท่าขึ้นใหม่ โดยยกเอางานบางส่วนจากกรมคลองเดิมมารวมกัน ต่อจากนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตราพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ขึ้นใหม่ ซึ่งกำเนิดมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษแล้วมาแปลเป็นภาษาไทย ทั้งนี้เนื่องจาก เห็นว่า พ.ร.บ.เดิมยังมีข้อบกพร่องอยู่ สมควรเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย จนทำให้มีการตราพระราชบัญญัติขึ้น


ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมออกมาอีกหลายฉบับตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ดังนี้ (ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 17 พ.ศ.2560)

  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2476
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477 (ฉบับที่ 2)
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477 (ฉบับที่ 3)
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2479
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2481
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2483
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2490
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2493
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 10) พุทธศักราช 2510
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 11) พุทธศักราช 2520
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 12) พุทธศักราช 2522
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 13) พุทธศักราช 2525
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พุทธศักราช 2535
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 15) พุทธศักราช 2540
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 16) พุทธศักราช 2550
  • พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พุทธศักราช 2560

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th

อาณาเขตทางทะเล

⇧ กฏหมายทางทะเล

ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 กว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของอาณาเขตทางบก ที่มีอยู่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้นกว่า 2,815 กิโลเมตร ครอบคลุมจำนวน 23 จังหวัด คนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากทะเลไม่เฉพาะแต่ในเขตทางทะเลของประเทศเราเองเท่านั้น หากยังสามารถใช้ทะเลไปถึงนอกเขตทางทะเลของประเทศด้วย เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากทะเลเป็นมาตรฐานเดียวกัน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย กฏหมายทะเล ค.ศ. 1982 จึงได้กำหนดเขตน่านน้ำทางทะเลออกเป็น 6 เขต


  1. น่านน้ำภายใน (Internal Waters) คือ น่านน้ำทางด้านแผ่นดินของเส้นฐาน (baselines) แห่งทะเลอาณาเขต (อนุสัญญาฯ ข้อ 8 วรรคหนึ่ง) เช่น อ่าว แม่น้ำ ปากแม่น้ำ ทะเลสาบ เป็นต้น ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้ำภายใน ในทำนองเดียวกับที่รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (territory) ดังนั้นหากเรือต่างชาติ หรืออากาศยานต่างชาติจะผ่านเข้ามาในเขตน่านน้ำภายในของรัฐชายฝั่ง เรือต่างชาติ หรืออากาศยานต่างชาตินั้นจะต้องขออนุญาตรัฐชายฝั่งก่อน ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเขียวทั้งหมด ซึ่งอยู่ด้านในถัดจากเส้นฐานไปถึงฝั่ง พื้นที่น่านน้ำภายในรวม 61,954.04 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 54,103.47 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 7,850.57 ตารางกิโลเมตร มีอยู่ 5 บริเวณ ดังนี้
    • อ่าวประวัติศาสตร์ ได้แก่พื้นที่บริเวณอ่าวไทยรูปตัว ก. เหนือเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตอ่าวประวัติศาสตร์
    • บริเวณที่ 1 ได้แก่พื้นที่บริเวณแหลมลิง ถึงหลักเขตแดนไทย-เขมร
    • บริเวณที่ 2 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่แหลมใหญ่ ถึงแหลมหน้าถ้ำ
    • บริเวณที่ 3 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่เกาะภูเก็ต ถึงพรมแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อมเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย
    • บริเวณที่ 4 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่เกาะกงออก ถึงพรมแดนไทย-มาเลเซีย
  2. ทะเลอาณาเขต (Territorial Waters) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ได้กำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตว่าต้องไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลโดยวัดจากเส้นฐาน (baselines) ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเหลือง ซึ่งรัฐชายฝั่งเป็นผู้กำหนดตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตของตน ซึ่งหมายความรวมถึง อำนาจอธิปไตยในห้วงอากาศ (air space) เหนือทะเลอาณาเขต อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) แห่งทะเลอาณาเขตด้วย โดยมีข้อยกเว้นในการใช้อำนาจอธิปไตย ของรัฐชายฝั่งเหนือทะเลอาณาเขต คือ “การใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริต” (right of innocent passage) ของเรือต่างชาติในทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่ง ซึ่งการผ่านจะสุจริตนั้นจะต้องไม่เป็นการเสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงต่อรัฐชายฝั่ง โดยมีพื้นที่ทะเลอาณาเขตรวม 53,068.22 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 29,344.36 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 23,723.86 ตารางกิโลเมตร
  3. เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี ค.ศ. 1982 กำหนดให้เขตต่อเนื่องมิอาจขยายเกินกว่า 24 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีน้ำเงิน รัฐชายฝั่งอาจดำเนินการควบคุมที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฝ่าฝืนกฎหมาย และข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร (customs) การคลัง (fiscal) การเข้าเมือง (immigration) หรือการสุขาภิบาล (sanitation) ภายในอาณาเขต หรือทะเลอาณาเขตของตน  และลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับดังกล่าวซึ่งได้กระทำภายในอาณาเขต หรือทะเลอาณาเขตของตน รัฐชายฝั่ง มีหน้าที่ในการคุ้มครองวัตถุโบราณ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่พบใต้ทะเลในเขตต่อเนื่อง โดยมีพื้นที่เขตต่อเนื่องรวม 37,513.22 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 23,909.18 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 13,604.04 ตารางกิโลเมตร
  4. เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zones) คือ บริเวณที่ประชิดและอยู่เลยไปจากทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกิจจำเพาะจะต้องไม่ขยายออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีฟ้าและสีม่วง รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อความมุ่งประสงค์ในการสำรวจ (exploration) และการแสวงประโยชน์ (exploitation) การอนุรักษ์ (conservation) และการจัดการ (management) ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในน้ำเหนือพื้นดินท้องทะเล (water superjacent to the sea-bed) และในพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) กับดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของพื้นดินท้องทะเลนั้น และมีสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เพื่อการแสวงประโยชน์ และการสำรวจทางเศรษฐกิจในเขต อาทิเช่น การผลิตพลังงานจากน้ำ (water) กระแสน้ำ (currents) และลม (winds) รัฐชายฝั่งมีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights) ในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้าง และควบคุมการสร้างเกาะเทียม (artificial islands) สิ่งติดตั้ง (installations) และสิ่งก่อสร้าง (structures) เพื่อทำการสำรวจ และแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือควบคุมการใช้สิ่งติดตั้งหรือสิ่งก่อสร้าง อันอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยสิทธิและการปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รัฐชายฝั่งจะต้องคำนึงตามควรถึงสิทธิและหน้าที่ของรัฐอื่นๆ และจะต้องปฏิบัติการในลักษณะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ นี้ รัฐอื่นๆ ย่อมมีเสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) การบินผ่าน (freedom of over flight) การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล (freedom of the laying of submarine cables and pipelines) มีพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะรวม 170,952.84 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 88,193.97 ตารางกิโลเมตร และ พื้นที่พัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย อีก 7,125.22 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 75,633.65 ตารางกิโลเมตร
  5. ไหล่ทวีป (Continental Shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (sea bed) และดินผิวใต้ดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเลซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขต ของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (natural prolongation) ของดินแดนทางบกของตนจนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin) หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้าง ของทะเลอาณาเขต ในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปขยายไปไม่ถึงระยะนั้น หรือริมนอกของขอบทวีปสั้นกว่า 200 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นความกว้างของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ก็ให้ถือว่าไหล่ทวีปมีความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเลตามความกว้าง ของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) เหนือทรัพยากรธรมรมชาติบนและใต้ไหล่ทวีป ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต โดยมีลักษณะพิเศษ 2 ประการ คือ
    • เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (exclusive rights) กล่าวคือ หากรัฐชายฝั่งไม่สำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือได้ไหล่ทวีปแล้ว รัฐอื่นจะสำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือใต้ไหล่ทวีปโดยมิได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากรัฐชายฝั่งมิได้
    • สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือไหล่ทวีปนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการครอบครอง (occupation) ไม่ว่าอย่างแท้จริงหรือเพียงในนาม หรือกับการประกาศอย่างชัดแจ้งใดๆ กล่าวคือ สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตไหล่ทวีปนั้นเป็นสิทธิที่รัฐชายฝั่งมีอยู่แต่ดั้งเดิม (inherent right) โดยไม่ต้องทำการประกาศเข้ายึดถือเอาแต่อย่างใด รัฐชายฝั่งได้สิทธิอธิปไตยดังกล่าวมาโดยอัตโนมัติ
  6. ทะเลหลวง (High Seas) หมายถึง ทุกส่วนของทะเลซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone) ในทะเลอาณาเขต (territotial sea) หรือในน่านน้ำภายใน (internal water) ของรัฐ หรือในน่านน้ำหมู่เกาะ (archipelagic waters) ของรัฐหมู่เกาะ เป็นที่น่าสังเกตว่าห้วงน้ำ (water column) และผิวน้ำเหนือไหล่ทวีปที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะยังคงเป็นเขตทะเลหลวง ถึงแม้ไหล่ทวีปและทรัพยากรบนไหล่ทวีปจะตกอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ของรัฐชายฝั่งก็ตาม ทะเลหลวงเปิดให้แก่รัฐทั้งปวง ไม่ว่ารัฐชายฝั่ง (coastal state) หรือรัฐไร้ฝั่งทะเล (landlocked states) เสรีภาพแห่งทะเลหลวงใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อื่นๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิเช่น   เสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (freedom of overflight) เสรีภาพในการทำประมง (freedom of fishing) โดยหน้าที่ประการสำคัญของรัฐต่างๆ ที่ทำการปรมงในทะเลหลวงคือ ต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมาตรการในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรที่มีชีวิตในท้องทะเล

แหล่งอ้างอิง

  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. 2548. หนังสือแปล อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, กรุงเทพฯ
  • http://marinegiscenter.dmcr.go.th

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑