Category: Uncategorized

เรือหลวงโพสามต้น

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงโพสามต้น เป็นเรือกวาดทุนระเบิดไกลฝั่ง ต่อขึ้นจากอู่ต่อเรือเลกเฟิร์นคอนสตรักชัน เมืองโตรอนโต้ ประเทศแคนาดา เดิมเรือลำนี้ชื่อเรือ HMS มินสเทรล(MINSTREL) ซึ่งสหราชอาณาจักรมอบให้ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2490 กองทัพเรือไทย ซื้อต่อมาเพื่อนำมาใช้ใช้ในภาระกิจ กวาดทุ่นระเบิดบริเวณ สัตหีบ และที่อื่น ๆ ที่ สัมพันธมิตร มาวางไว้ ในช่วงระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2496 เรือหลวงโพสามต้น เป็นเรือฝึกนักเรียนนายเรือ และมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานสวนสนามทางเรือ ในพิธีราชาภิเษก พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ณ ประเทศอังกฤษ แต่เดิมหมายเลขประจำเรือคือ หมายเลข 1 สังกัดกองเรือทุ่นระเบิด ต่อมาเปลี่ยนเป็น 415 สังกัดกองเรือฟริเกต และสุดท้ายย้ายกลับมากองเรือทุ่นระเบิด ใช้หมายเลข 611 หลังปลดระวางประจำการ มีการนำเรือหลวงโพสามต้น จากอู่กรมทหารเรือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ มายังอู่ต่อเรือพระเจ้าตาก หรืออู่ต่อเรือบ้านเสม็ดงาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ต่อเรือเมื่อครั้งพระเจ้าตากยกทัพไปตีพม่าเพื่อกู้เอกราชของชาติไทย และเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติให้กับนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจ


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 5 ก.ค. 2487
    • ชื่อเดิม HMS MINSTREL ของประเทศอังกฤษ
    • ขึ้นระวางประจำการ 20 พ.ย. 2490
    • ปลดประจำการ (ไม่ทราบ)
    • ผู้สร้าง อู่ เรดเฟิร์น คอนสตรัคชั่น เมืองโทรอนโด ประเทศแคนนาดา
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 67.50 เมตร
    • ความกว้าง 10.68 เมตร
    • กินน้ำลึก 2.90 เมตร
    • ระวางขับน้ำ ปกติ 1,097 ตัน สูงสุด 1,350 ตัน
    • ความเร็วสูงสุด 16 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,920 ไมล์ ที่ 10 นอต
    • กำลังพลประจำเรือ 105 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 76/50 มม. จำนวน 1 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. แท่นคู่ 1 แท่น
    • ปืน 20 มม. จำนวน 4 กระบอก
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรไอน้ำขยายตัว 3 ครั้ง ชนิดข้อเสือข้อต่อ จำนวน 2 เครื่อง กำลัง 2,000 แรงม้า
    • ใบจักรคู่
หมายเลข 415 สังกัดกองเรือฟริเกต
หมายเลข 611 กองเรือทุ่นระเบิด

แหล่งอ้างอิง

  • http://oknation.nationtv.tv
  • http://www.thaifighterclub.org/
  • http://rach1968.blogspot.com
  • http://www.manager.co.th

เรือหลวงแม่กลอง

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

กองทัพเรือได้พยายามดำเนินการจัดหาเรือรบไว้ป้องกันประเทศมาเป็นเวลานานประมาณ 30 ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากติดขัดด้วยงบประมาณ มีไม่เพียงพอ จึงทำให้กองทัพเรือมีเรือรบไม่เพียงพอต่อการป้องกันประเทศทางทะเล “โครงการบำรุงกำลังทางเรือ” เพิ่งจะมาสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 8 ปี พ.ศ. 2478 โดยมี นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เสนาธิการทหารเรือ และรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลได้เสนอโครงการจัดหาเรือรบไว้ป้องกันประเทศใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผ่านผู้บัญชาการทหารเรือ (นายนาวาเอก พระยาวิจารณ์จักรกิจ บุญชัย สวาทะสุข) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม) จนถึงคณะรัฐบาล โดยทำเป็น “พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478” นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ จึงได้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ในการประชุมสภาครั้งที่ 62/2477 และได้รับอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น ประกาศใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2478 กองทัพเรือจึงได้แต่งตั้งกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกำลังทางเรือขึ้น มีนายนาวาเอก พระยาวิจารณ์จักรกิจ รักษาราชการ ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของคณะกรรมการฯ คือ นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย เสนาธิการทหารเรือในขณะนั้น นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย ได้มีดำริที่จะสร้าง “เรือฝึกหัดนักเรียน” ขึ้นด้วยงบประมาณประจำปีของกองทัพเรืออยู่แล้วทั้งๆ ที่กำลังเสนอพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือต่อรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรด้วยพิจารณาเห็นว่า ร.ล.เจ้าพระยา “มีสภาพเหมาะที่จะเป็นเรือฝึกนักเรียนแต่ไม่เหมาะกับการ อวดธง” เพราะไม่มีอาวุธ ส่วน ร.ล.รัตนโกสินทร์ และ ร.ล.สุโขทัย “มีสภาพเหมาะกับการอวดธง แต่ไม่เหมาะกับการฝึก”

เรือที่สร้างขึ้นด้วยเงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.๒๔๗๘ และเสริมด้วยงบประมาณประจำปีของกองทัพเรือ คือ

  • เรือปืนหนัก 2 ลำ
  • เรือฝึกหัดนักเรียน 2 ลำ
  • เรือตอร์ปิโดใหญ่ 7 ลำ (ร.ล.ตราด และ ร.ล.ภูเก็ต สร้างด้วยงบประมาณพิเศษก่อนพระราชบัญญัติฯ นี้ )
  • เรือทุ่นระเบิด 2 ลำ
  • เรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ
  • เรือดำน้ำ 4 ลำ
  • เรือลำเลียง 2 ลำ
  • เครื่องบินทะเล 6 เครื่อง และ อาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ เช่น ปืนใหญ่ ทุ่นระเบิด ฯลฯ

พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.๒๔๗๘ ฉบับนี้นับว่าเป็น “ฉบับแรก ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ และของประเทศไทย” และเป็นฉบับเดียวมาจนตราบเท่าปัจจุบันนี้

การดำเนินการสร้าง

คณะกรรมการฯ ได้พิจารณารายการของเรือฝึกหัดนักเรียนหรือเรือสลุป 2 ลำนี้หลายครั้ง และมีมติให้ขอพระราชทานชื่อเรือฝึกหัดนักเรียน 2 ลำนี้ว่า “ท่าจีน” และ “แม่กลอง” ในที่สุดกองทัพเรือได้ตกลง สั่งต่อเรือฝึกหัดนักเรียนหรือเรือสลุป 2 ลำ และเรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ จากประเทศญี่ปุ่น โดยว่าจ้างบริษัทมิตซุยบุชซันไกชาเป็นผู้ต่อเรือ แยกการต่อเรือจากอู่ต่อเรือ 2 อู่ คือ ร.ล.ท่าจีน และ ร.ล.แม่กลอง ต่อที่อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยโกสุกะ ส่วนเรือตอร์ปิโดเล็ก 3 ลำ ร.ล.คลองใหญ่ ร.ล.ตากใบ และร.ล.กันตัง ต่อที่อู่ต่อเรืออิชิกาวายิมา กรุงโตเกียว กองทัพเรือได้ลงนามในสัญญาสั่งต่อเรือหลวงทั้ง 5 ลำ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2478 และ ได้ส่งนายนาวาเอก พระประกอบกลกิจ เป็นหัวหน้าควบคุมการต่อเรือทั้ง 5 ลำ และนายนาวาโทหลวงชาญจักรกิจ เป็นผู้ควบคุมการต่อ ร.ล.แม่กลอง ให้เป็นไปตามสัญญาที่กำหนด วันที่ 24 กรกฎาคม 2479 เวลา 1045 ซึ่งเป็นวันเดียวกับทำพิธีปล่อย ร.ล.ท่าจีนลงน้ำ ได้มีพิธีวางกระดูกงู ร.ล.แม่กลอง ณ อู่ต่อเรืออูรางา พระมิตรกรรมรักษา อัครราชทูตที่โตเกียว เป็นผู้ประกอบพิธี ทางกองทัพเรือจึงได้ถือเอาวันที่ 24 กรกฎาคม 2479 เป็นวันกำเนิด ร.ล.แม่กลอง อู่ต่อเรือได้ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ต่อตัวเรือภายนอกของ ร.ล.แม่กลอง เสร็จเรียบร้อย ทำพิธีปล่อย ร.ล.แม่กลองลงน้ำเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2479 ต่อจากนั้นได้สร้างส่วนประกอบตัวเรือภายนอก พร้อมกับวางเครื่องจักรใหญ่ ติดตั้งอาวุธประจำเรือ

ภารกิจของหน่วย

  • ในยามสงคราม ปฏิบัติภารกิจในการป้องกันประเทศทางทะเลในหน้าที่เรือสลุป สามารถทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ในยามสงบ ปฏิบัติภารกิจเป็นเรือฝึกนักเรียนทหาร และนายทหาร สำหรับฝึกภาคทะเลเป็นระยะทางไกลจนถึงเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อให้นักเรียนทหาร นายทหาร และทหารได้รับความรู้ความชำนาญในการเดินเรือ และเป็นการอวดธงไปด้วย

ภายหลังปลดระวางประจำการ กองทัพเรือ ได้ใช้ประโยชน์ โดยนำไปสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ เรือหลวงแม่กลอง ตั้งอยู่บนบก ณ อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • วางกระดูกงู 24 ก.ค. 2479
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 27 พ.ย. 2479
    • สร้างเสร็จ 20 เม.ย. 2480
    • ขึ้นระวางประจำการ 26 ก.ย. 2480
    • ปลดประจำการ 25 ก.ค. 2539
    • ผู้สร้าง อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยโกสุกะ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 85 เมตร
    • ความกว้าง 10.5 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.7 เมตร
    • ระวางขับน้ำสูงสุด 1,400 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 17 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 16,000 ไมล์
    • กำลังพลประจำเรือ 173 นาย
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 120 ม.ม. จำนวน 4 กระบอก
    • ปืนกล 20 ม.ม. จำนวน 2 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. จำนวน 3 กระบอก
    • ตอร์ปิโด 45 ซม. 2 แท่น จำนวน 4 ท่อ
    • เครื่องบินทะเล จำนวน 1 เครื่อง
    • แท่นปล่อยระเบิดลึก 6 แท่น
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรใหญ่ชนิดเครื่องจักรไอน้ำแบบข้อเสือข้อต่อร่วมกับเครื่องกังหันไอน้ำ จำนวน 2 เครื่อง
    • ใบจักรคู่
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • https://www3.navy.mi.th

เรือหลวงปิ่นเกล้า

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงปิ่นเกล้าถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคการต่อสู้แบ่งฝ่ายของประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น สหรัฐอเมริกา ได้ทำการต่อเรือพิฆาตคุ้มกัน (Destroyer Escort ) จำนวน 555 ลำ เพื่อคุ้มกันเรือสินค้าอังกฤษที่ถูกเรือดำน้ำของกองทัพเรือเยอรมันโจมตีจนเรืออับปาง โดยได้ทำการต่อเรือ Destroyer Escort ชั้น Cannon ทั้งหมด 72 ลำ หนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นเรือลำที่ 59 ได้ชื่อว่า USS.HEMMINGER (DE 746) เพื่อเป็นเกียรติแก่ Ensign Gyril Franklin Hemminger ผู้ได้ปฏิบัติหน้าที่ ในการรบอย่างกล้าหาญ จนตัวตายในการยุทธ์ทางเรือ ที่หมู่เกาะโซโลมอน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2485 และ นาง Hemminger ภริยาหม้ายได้รับเกียรติให้ปล่อยเรือลำนี้ลงน้ำในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2486 เมื่อขึ้นระวางประจำการแล้ว เรือ USS.Hemminger ได้ ถูกส่งไปประจำการที่ Pearl Harbor ในเดือน สิงหาคม 2487 ทำหน้าที่ปฏิบัติการล่าทำลายเรือดำน้ำ (Hunter -Killer Anti Submarine Operations) ในพื้นที่ระหว่าง Pearl Harbor และเกาะ Eniwetok ต่อมา ได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการเป็นเรือคุ้มกันกองเรือลำเลียงหลายครั้ง เช่น การคุ้มกันกองเรือเดินทางไป Okinawa รวมถึงการสนับสนุน การรบภาคพื้นดินที่ Okinawa และการโจมตีทางอากาศที่ Kyushu เรือ USS.Hemminger ได้ร่วมกับ CortDiv 53 และ Kasaan Bay ในการปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่เกาะ Guam และเกาะ Eniwetok จนทั่งปลดประจำการออกจากทัพเรือสหรัฐ ฯ เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2489 เรือ USS.Hemminger กลับเข้ามาประจำการอีกครั้งหนึ่งที่ Notfolk วันที่ 1 ธันวาคม 2493 ได้ร่วมปฏิบัติงานและรองรับการฝึกในหลาย ๆ ครั้ง ของ ทร.สหรัฐ ฯ เช่นได้ร่วมงานกับเรือดำน้ำของตุรกี ชื่อ Gur ในเดือน สิงหาคม 2497 จากนั้นก็ปลดระวางเป็นเรือสำรองใช้งานในกองเรือแอตแลนติก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2501 ในปี พ.ศ.2502 สหรัฐอเมริกาเซ็นสัญญา ให้ไทยเช่ายืมเรือมีกำหนด 5 ปี ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางทหารเมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2502 ที่ Naval Shuoyard New York USA และได้เดินทางกลับถึงเมืองไทยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2502 เมื่อครบสัญญาแล้ว ก็มีการต่อสัญญาอีก จนกระทั่งในปี พ.ศ.2518 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้โอนเรือหลวงปิ่นเกล้า ให้แก่กองทัพเรือไทย กองทัพเรือได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานชื่อเรือลำนี้ว่า ” เรือหลวงปิ่นเกล้า ” ตามพระราชทินนามของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อกองทัพเรือเป็นอเนกอนันต์ ในขณะนั้น เรือหลวงปิ่นเกล้า ได้เข้าประจำการอยู่ในกองเรือปราบเรือดำน้ำ กองเรือยุทธการ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นกองเรือฟริเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ ในปัจจุบัน


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 413
    • วางกระดูกงู 8 พ.ค. 2486
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 12 ก.ย. 2486
    • ต่อเสร็จ 30 พ.ค. 2487
    • ขึ้นระวางประจำการที่สหรัฐฯ 20 พ.ค. 2487
    • ทร.ไทย รับมอบเมื่อ 22 ก.ค. 2502
    • ขึ้นระวางประจำการที่ไทย 31 ส.ค. 2502
    • ปลดประจำการ 30 ก.ย.2551
    • ผู้สร้าง Western pipe and steels co.
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 91.8 เมตร (306 ฟุต)
    • ความกว้าง 11.22 เมตร (36 ฟุต)
    • กินน้ำลึก 4.5 เมตร
    • ระวางขับน้ำปกติ 1,176 ตัน
    • ระวางขับน้ำสูงสุด 1,662 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 17 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 8,340 ไมล์ ที่ 12 นอต
  • ระบบอาวุธ
    • ปืนหลัก 46/50 มม. จำนวน 3 กระบอก
    • ปืนกล 40/60 มม. แท่นคู่ 3 แท่น จำนวน 6 กระบอก
    • ปืนกล .50 นิ้ว จำนวน 2 กระบอก
    • รางปล่อยระเบิดลึก 2 ราง 22 ลูก
    • ตอร์ปิโด แฝด 3 ท่อยิง 2 แท่น 6 ลูก
    • ท่อยิงระเบิดลึก 8 ท่อ

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.frigate1.com/
  • https://www.facebook.com/htmspinklao/
  • https://www.facebook.com/River-is-life-128892643799770/

เรือหลวงบางปะกง(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงบางปะกง เป็นเรือคอร์เวต ชั้น Flower ของราชนาวีอังกฤษ เดิมชื่อ HMS Burnet (K348) สั่งต่อเมื่อ 22 ก.ค. 2485 ขึ้นระวางประจำการ ทร.อังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2488 ได้ถูกส่งมอบโดยทันที ให้ ทร.อินเดีย โดยใช้ชื่อว่า HMIS Gondwana และได้ถูกส่งมอบกลับให้ ทร.อังกฤษใน พ.ศ. 2489 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และได้ขายต่อให้ ทร.ไทย ในปี พ.ศ. 2490 และใช้ชื่อว่า ร.ล.บางปะกง

การปฏิบัติการของเรือหลวงบางปะกงในช่วงสงครามเกาหลี

  • การปฏิบัติการระดมยิงชายฝั่งตะวันออกของเกาหลีเหนือครั้งแรก เริ่ม 3 มกราคม 2494 โดยได้ระดมยิงชายฝั่งบริเวณเส้น ละติจูดที่ 38 – 39 องศาเหนือ ระหว่างแนวเมืองชังจอน กับเมืองยังยัง วันที่ 5 และ 6 มกราคม 2494 ได้ทำการระดมยิงสถานีรถไฟ เส้นทางคมนาคม และสิ่งปลูกสร้างทางทหาร บริเวณเมืองโชโด
  • การระดมยิงฝั่งเมืองวอนชานครั้งที่ 1 (16 เมษายน – 13 พฤษภาคม 2494) เรือหลวงบางปะกงร่วมกับเรือรบสหรัฐฯ ออกเดินทางจากฐานทัพเรือซาเซโบ ไปยังอ่าววอนชาน เรือหลวงบางปะกงได้ทำการระดมยิง หน่วยปืนใหญ่รักษาฝั่งของข้าศึกบนแหลมกัลมากัก ใช้เวลาปฏิบัติการ 18 วัน (13 พฤษภาคม ได้ทำการผลัดเปลี่ยนกำลังพล ทำเสร็จใน 1 มิถุนายน 2494)
  • การระดมยิงฝั่งเมืองวอนชานครั้งที่ 2 (13 – 18 มิถุนายน 2494) เรือหลวงบางปะกง และเรือฟรีเกต สหรัฐฯ ออกเดินทางจากฐานทัพเรือซาเซโบ ถึงอ่าววอนชาน ได้ระดมยิงที่หมาย หน่วยปืนใหญ่รักษาฝั่งที่ตำบลฮัมจิ กับเส้นทางลำเลียงบริเวณชองดอง การปฏิบัติการครั้งนี้ได้รับคำชมเชยเป็นอันมาก ในเดือนสิงหาคม 2494 กำลังพลประจำเรือ รุ่นที่ 2 จำนวน 55 คน ได้เข้าผลัดเปลี่ยนรุ่นที่ 1 ส่วนที่เหลือ
  • การปฏิบัติการที่เมืองวอนชานครั้งที่ 3 (3 – 10 กันยายน 2494) เรือหลวงบางปะกงเดินทางถึงอ่าววอนชาน ได้รับมอบภารกิจเป็นเรือรักษาด่าน วันต่อมาได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติตามแผนการลาดตระเวณ ได้รับคำสั่งให้ยิงที่หมายโดยอิสระ ได้ระดมยิงที่หมายทางรถไฟ และสะพานรถไฟชายฝั่งเมืองชองจิน วันต่อมาทำหน้าที่รักษาด่าน และเข้ายิงที่หมายเส้นทางลำเลียงบริเวณเหนือแหลมโฮโด ปันโด ในอ่าววอนชาน เข้ายิงที่หมายหน่วยปืนใหญ่รักษาฝั่งของข้าศึก บริเวณปลายแหลมโฮโดปันโดในอ่าววอนชาน แล้วออกลาดตระเวณไปยังชองจิน วันต่อมายิงที่หมายทางรถไฟ สถานีรถไฟ สะพานรถไฟ บริเวณชายฝั่งเมืองชองจิน วันต่อมาทำหน้าที่รักษาด่านเขตทิ้งระเบิด และยิงที่หมายบริเวณอ่าววอนชาน
  • การปฏิบัติการที่เมืองวอนชาน ครั้งที่ 4 (24 ตุลาคม 2494) ได้ไปปฏิบัติการ ณ เมืองวอนชาน โดยทำการลาดตระเวณฝั่งตะวันออก ขึ้นไปทางเหนือแหลมไฮโดปันโด ป้องกันเรือเล็กข้าศึกลอบเข้าไปวางทุ่นระเบิด หรือทำการลำเลียงทหาร
  • การปฏิบัติการที่เมืองวอนชาน ครั้งที่ 5 (17 – 19 พฤศจิกายน 2494) ทำหน้าที่รักษาด่านเวลากลางคืน และลาดตระเวณเวลากลางวัน
  • เรือหลวงบางปะกงเดินทางกลับประเทศไทย 29 ธันวาคม 2494 เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงประแส (ลำใหม่) เรียกว่า หมู่เรือฟรีเกต (มฟ.) ได้เดินทางมาถึงฐานทัพเรือซาเซโบ กองทัพเรือได้กำหนดให้เรือหลวงบางปะกงพ้นจากหน้าที่ ให้เข้าอู่ซ่อมใหญ่ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย หลังจากที่ซ่อมเสร็จเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ และได้เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อ 11 มีนาคม 2495


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • เรือในชุดเดียวกัน ร.ล.ประแส(ลำที่ 1)
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 31 พ.ค. 2486
    • ชื่อเดิม HMS Burnet ของ ทร.อังกฤษ
    • ชื่อเดิม HMIS Gondwana ของ ทร.อินเดีย
    • ขึ้นระวางประจำการ ทร.ไทย 15 พ.ค. 2490
    • ปลดประจำการ ระหว่าง พ.ศ. 2525-2528
    • ผู้สร้าง บริษัท Ferguson Shipbuilders, Limited เมืองกลาสโกลว์ ประเทศอังกฤษ
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 63.40 เมตร
    • ความกว้าง 10.06 เมตร
    • กินน้ำลึก 3.35 เมตร
    • ระวางขับน้ำ ปกติ 1,031 ตัน เต็มที่ 1,137 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 16 นอต
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,500 ไมล์ ที่ 12 นอต
    • กำลังพลประจำเรือ 90 นาย
  • ระบบตรวจจับ
    • เรดาร์ Type 271 SW2C
    • โซนาร์ Type 144
  • ระบบอาวุธ
    • ปินใหญ่ 4 นิ้ว (102 มม.) BL Mk.IX แท่นเดี่ยว 1 กระบอก
    • ปืนต่อสู้อากาศยาน Mk.VIII single “pom-pom” 2 ท่อยิง จำนวน 1 ชุด
    • ปืนกล 20 มม Oerlikon แท่นเดี่ยว จำนวน 2 กระบอก
    • แท่นยิงจรวดปราบเรือดำน้ำแบบ Hedgehog จำนวน 1 แท่นยิง
    • เครื่องยิงระเบิดลึก Mk.II depth charge จำนวน 4 แท่นยิง
    • รางปล่อยลูกระเบิดน้ำลึก 2 ราง พร้อมลูกระเบิดน้ำลึก 70 ลูก
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • ระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์กังหันไอน้ำ 1 เครื่องยนต์ ให้กำลังขับเคลื่อน 2,750 แรงม้า
    • ใบจักร จำนวน 1 เพลาใบจักร

แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org
  • https://en.wikipedia.org
  • https://www.baanjomyut.com

เรือหลวงตระเวณวารี

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงตระเวณวารี เป็นเรือประเภท เรือตรวจการประมง ชุดเดียวกันมีจำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือหลวงสารสินธุ เรือหลวงเทียวอุทก และ เรือหลวงตระเวณวารี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2494 จมที่หน้ากุฎีจีน ฝั่งธนบุรี ในกรณีกบฎแมนฮัตตัน


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ประเภท เรือตรวจการประมง
    • ขึ้นระวางประจำการ สมัยรัชกาลที่ 8
    • ปลดประจำการ 30 มิ.ย. 2494 จมที่หน้ากุฎีจีน ฝั่งธนบุรี ในกรณีกบฎแมนฮัตตัน
    • ผู้สร้าง กรมอู่ทหารเรือ
    • ระวางขับน้ำ 50 ตัน
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th/dockyard/

เรือหลวงเทียวอุทก

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงเทียวอุทก เป็นเรือประเภท เรือตรวจการประมง ชุดเดียวกันมีจำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือหลวงสารสินธุ เรือหลวงเทียวอุทก และ เรือหลวงตระเวณวารี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ภายหลังเปลี่ยนสังกัดไปขึ้นกับกองเรือยุทธการ และเปลี่ยนประเภทเป็น เรือ กร. ใช้งานต่อไปอีก นอกจากนี้ เรือหลวงเทียวอุทกยังเคยเข้าร่วมในการรบที่เกาะช้างอีกด้วย


คุณลักษณะของเรือ


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th/dockyard/

เรือหลวงสารสินธุ(ลำที่ 2)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงสารสินธุ เดิมชื่อ PC-495 เป็นเรือในชั้น PC-461 ของ ทร.สหรัฐฯ ซึ่งกองทัพเรือไทยได้รับมอบมาตามโครงการช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นไปตามโครงการ เงินกู้สำหรับซื้อของเหลือใช้สงครามของ ทร.ไทย โดยในโครงการได้จัดหาเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชั้นนี้มาเป็น 3 ระยะ รวมจำนวน 8 ลำ ประกอบด้วย ระยะแรกได้แก่ เรือหลวงสารสินธุ เรือหลวงทยานชล และเรือหลวงคำรณสินธุ ระยะที่สองได้แก่ เรือหลวงพาลี และเรือหลวงสุครีพ ระยะที่สามได้แก่ เรือหลวงตองปลิว เรือหลวงลิ่วลม และเรือหลวงล่องลม


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ประเภท เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ
    • หมายเลข 1
    • วางกระดูกงู 10 มิ.ย. 2484
    • ปล่อยเรือลงน้ำ 30 ธ.ค. 2484
    • ขึ้นระวางประจำการ ทร.สหรัฐฯ 23 เม.ย. 2485
    • ขึ้นระวางประจำการ ทร.ไทย 20 พ.ย. 2490
    • ปลดระวาง 30 ก.ย. 2535
    • ผู้สร้าง Dravo Corp. (Neville Island, Pittsburgh, Pennsylvania) ประเทศ สหรัฐ ฯ
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 52 เมตร
    • ความกว้าง 7 เมตร
    • กินน้ำลึก 2.20 เมตร
    • ระวางขับน้ำปกติ 228 ตัน
    • ระวางขับน้ำสูงสุด 372.24 ตัน
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 12 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 20.20 นอต
    • กำลังพล 65 นาย
    • ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,000 ไมล์ ที่ความเร็วมัธยัสถ์
  • ระบบอาวุธ
    • ปืน 76/50 จำนวน 1 กระบอก
    • ปืน 40/60 มม. 1 กระบอก
    • ปืน 20 มม. 5 กระบอก
    • K Gun จำนวน 2 แท่น
    • แท่นยิง Mousetrap จำนวน 2 แท่น
    • รางปล่อยระเบิดลึก จำนวน 2 แท่น
    • แท่นยิงตอร์ปิโด MK-32 MOD 3 (ท่อเดี่ยว) จำนวน 2 ท่อยิง
  • ระบบขับเคลื่อน
    • เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1,440 แรงม้า Hooven Owen Rentschler, Westinghouse simgle reduction gear
    • ใบจักรคู่
ในแม่น้ำเจ้าพระยา
ปล่อยเรือลงน้ำ ณ อู่ต่อเรือ บ. Dravo Corp.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.thaifighterclub.org
  • http://www.navsource.org
  • https://uboat.net/
  • http://www.wings-aviation.ch

เรือหลวงสารสินธุ(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงสารสินธุ ลำที่ 1 เป็นเรือประเภท เรือตรวจการประมง สร้างขึ้นพร้อมกัน 3 ลำ ได้แก่ เรือหลวงสารสินธุ เรือหลวงเทียวอุทก และ เรือหลวงตระเวณวารี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา ถูกเครื่องบินอังกฤษยิงด้วยปืนกล จมที่อ่าวฉลอง จังหวัดภูเก็ต


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ประเภท เรือตรวจการประมง
    • ขึ้นระวางประจำการ สมัยรัชกาลที่ 8
    • ปลดประจำการ 25 ก.ค. 2488 ถูกเครื่องบินอังกฤษยิง จมที่อ่าวฉลอง จังหวัดภูเก็ต
    • ผู้สร้าง กรมอู่ทหารเรือ
    • ระวางขับน้ำ 50 ตัน
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th/dockyard/

เรือหลวงจุฬา(ลำที่ 2)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมาของโครงการ

เรือหลวงจุฬา เป็นเรือบรรทุกน้ำมัน ในชุด 2TM ของญี่ปุ่น สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือในชุดเดียวกันมีจำนวน 34 ลำ

การดำเนินการสร้าง

การออกแบบสร้าง มุ่งเน้นสร้างเรือให้ได้จำนวนมาก ตัวเรือมีเฟรมตามแนวขวางน้อยกว่าเรือปกติทั่วไป ทำให้บอบบางต่อการป้องกันความเสียหาย นอกจากนี้ยังไม่ได้ออกแบบ เป็นตัวเรือสองชั้นด้านใต้ ในภาพรวมการใช้งานมีความเร็วน้อยและเป็นเป้าหมายต่อการถูกโจมตีได้ง่าย


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • หมายเลข 2
    • สร้างช่วง ปี พ.ศ. 2487-2488
    • ขึ้นระวางประจำการ ทร.ไทย ปี พ.ศ. 2489
    • ปลดประจำการ ปี พ.ศ. 2522
    • ผู้สร้าง บริษัท ฮิตาชิ ประเทศญี่ปุ่น
  • คุณลักษณะทั่วไป
    • ความยาวตลอดลำ 328 ฟุต
    • ความกว้าง 43.50 ฟุต
    • กินน้ำลึก 25 ฟุต
    • ความเร็วมัธยัสถ์ 9.50 นอต
    • ความเร็วสูงสุด 11.50 นอต
    • ระวางขับน้ำปกติ 2,395 ตัน
    • ระวางขับน้ำเต็มที่ 4,744 ตัน
    • ระยะปฏิบัติการ 5,000 ไมล์ ที่ 9.5 นอต
  • ระบบสนับสนุน
    • บรรทุกน้ำมัน 3,500 ตัน
  • ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย
    • เครื่องจักรไอน้ำ
    • เพลาใบจักร 1 เพลา
  • เรือในชุดเดียวกัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.combinedfleet.com
  • https://www.history.navy.mil/
  • https://stefsap.wordpress.com/2015/12/07/the-thai-navy/
  • http://global-mariner.com
  • http://pwencycl.kgbudge.com

เรือหลวงจุฬา(ลำที่ 1)

⇑ พิพิธภัณฑ์ทางเรือ

ความเป็นมา

เรือหลวงจุฬา ลำที่ 1 เป็นเรือประเภท เรือลำเลียงช่วยรบ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484 – 2488) ข้อมูลที่กล่าวถึงเรือลำนี้หาได้ยากและมีค่อนข้างน้อย


คุณลักษณะของเรือ

  • ทั่วไป
    • ประเภท เรือลำเลียงช่วยรบ
    • ขึ้นระวางประจำการ พ.ศ. 2484 – 2488
    • ปลดประจำการ 13 ก.พ. 2496

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th

Copyright © 2025 Seafarer Library

Theme by Anders NorenUp ↑