Category: Uncategorized

ทางขึ้นลงเรือใหญ่

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

เนื่องจาก การที่ทหารต้องเดินบนดาดฟ้าใหญ่ทางกราบซ้าย นายทหารเดินทางกราบขวา ฉะนั้นเมื่อขึ้นเรือใหญ่หรือลงจากเรือใหญ่ก็ตาม จึงมีประเพณีปฏิบัติกัน ให้นายทหารใช้บันไดขวา พันจ่าใช้บันไดซ้าย จ่าและพลทหารโดยปกติต้องขั้นลงทางมุมกางออกไปจากกราบเรือ เพื่อใช้สำหรับผูกเรือเล็กประจำเรือ สำหรับจ่าและพลทหารถ้าจะใช้บันไดต้องใช้บันไดซ้ายและขออนุญาตก่อน เนื่องจากการได้รับอนุญาตและเคยชิน ทหารมักขึ้นลงทางบันไดซ้ายมากยิ่งขึ้น และการขออนุญาตนั้นจะใช้บันไดขวาก็ได้ตามเหตุการณ์ นอกจากการขึ้นลงดังกล่าวแล้ว ถ้าเป็นเรือรบขนาดใหญ่และมีนายทหารชั้นนายพลเรืออยู่ในเรือด้วย เรือบางลำมีบันไดโดยเฉพาะทางกราบขวาสำหรับนายพลเรือเท่านั้น ดังนั้น เพื่อสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับผู้บังคับการเรือ และนายทหารเรือชั้นนายเรือให้มากยิ่งขึ้น เรือบางลำจึงอาจมีบันไดทางกราบซ้ายมากกว่าบันไดทางกราบขวาก็ได้ และจัดให้คนอื่นใช้กราบซ้ายให้มากที่สุดแม้แต่นายทหารสัญญาบัตรเอง และทุกคนเมื่อจะขึ้นเรือหรือไปจากเรือ ต้องหันหน้าไปกระทำความเคารพท้ายเรือด้วยเสมอ



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

ทางเดินบนดาดฟ้าเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

แม้เรือจะเป็นที่คับแคบก็ตาม การเดินไปมาบนดาดฟ้าเรือก็จะต้องมีระเบียบแบบแผนประเพณี ในราชนาวีอังกฤษ ตามปกติบนดาดฟ้าใหญ่ทางกราบขวานั้นต้องสงวนไว้เป็นทางเดินของผู้บังคับการเรือ ขณะเมื่อผู้บังคับการเรืออยู่ที่ดาดฟ้านี้ผู้อื่นจะใช้เป็นทางเดินไม่ได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตก่อน สำหรับนายทหารจะเดินทางกราบไหนก็ได้ทั้งสอบกราบ และตามปกติทหารต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตรจะเดินทางกราบขวาไม่ได้ ต้องเดินทางกราบซ้าย ยกเว้นแต่ในกรณีเพื่อไปปฏิบัติงาน ณ ที่นั้น ๆ หรือมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ในการปฏิบัติการรบ หรือฝึกหัดศึกษา เป็นต้น



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

การตีระฆังเรือบอกเวลา

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

การตีระฆังเรือบอกเวลากระทำทุกครึ่งชั่วโมง และตีสูงสุดเพียง 8 ทีเท่านั้น โดยจัดตีเป็นคู่ 4 คู่ ทุกครั้งที่นาฬิกาบอกเวลาชั่วโมง ระฆังเรือจะตีคู่และทุกครึ่งชั่วโมง ระฆังเรือจะตีจำนวนขอน การตี 1 ทีนั้นเริ่มเวลา 0030 ฉะนั้น ในวันหนึ่ง ๆ ระฆังเรือจะตีบอกเวลากลับไปกลับมา 6 รอบด้วยกัน ประเพณีในเรื่องนี้จะมีมาอย่างไร ยังไม่พบเรื่องแสดงไว้เป็นหลักฐานแน่ชัด ได้แต่สันนิษฐานเอาว่า ในสมัยก่อนการเข้ายามของชาวเรือเข้าครั้งละ 4 ชั่วโมง คือเริ่มตั้งแต่ระฆังตี 8 ที จนถึงระฆังตี 8 ที เพื่อไม่ให้ต้องจดจำมาก ก็ให้จำไว้แต่เพียงว่าจะมีการเปลี่ยนยามทุก ๆ ครั้งที่ระฆังตี 8 ที และระฆังที่ตีเพิ่มขึ้นแต่ละครั้งนั้นหมายความว่าเวลาที่ล่วงไปทุกครึ่งชั่วโมง ในสมัยนั้นใช้นาฬิกาทรายทุกครั้งที่ทรายไหลหมดเป็นเวลาชั่วโมง ยามจะต้องคว่ำนาฬิกาทรายกลับในทางตรงกันข้าม พร้อมกับตีระฆัง 1 ที เพื่อแสดงว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้น เวลา 1 ชั่วโมงที่ต้องเข้ายามจึงข้องคว่ำนาฬิกาทราย 8 ครั้ง จึงตีระฆังทั้งสิ้น 8 ทีในการเข้ายาม 1 ผลัด การเข้ายามผลัดละ 4 ชั่วโมงนี้แม้ในสมัยปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่สำหรับนายทหารยามเรือเดิน แต่มีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมขึ้น

นอกจากนั้นก็มีเรื่องเล่ากันว่าการตีระฆัง 8 ทีนี้เป็นการแสดงความเคารพเทพเจ้าทั้ง 8 องค์ ซึ่งประจำอยู่ 8 ทิศ เทพเจ้าทั้ง 8 องค์นี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามศาสนาและประเพณีของฝรั่ง เช่น Jupiter , Mar , Venus ฯลฯ ซึ่งต่อมาได้เอามาตั้งเป็นชื่อของดวงดาวโดยถือว่าเทพเจ้าแต่ละองค์ประจำดวงดาวนั้น ๆ และก็มีนิทานท้ายเรือเล่าประกอบกันอยู่อีกหลายเรื่องด้วยกัน เช่นเล่าว่าทุกปีจะต้องส่งมนุษย์ไปสังเวยแก่มังกรไฟซึ่งเป็นเจ้าทะเลอยู่ในขณะนั้น โดยมังกรไฟจะขึ้นมาเลือกคนเอาเอง เมื่อถึงกำหนดเจ้าเมืองจะจัดเรือส่งไปหนึ่งลำ เมื่อเรือไปถึงถ้ำมังกรไฟได้ทำพิธีเชิญมังกรไฟขึ้นมา มังกรไฟได้เลือกเอาตัวนายเรือลำนั้น นายเรือลำนั้นจึงขอผลัดไว้ว่าจะยอมให้กินเมื่อระฆังตี 9 ที มังกรไฟก็ยอมและลงไปคอยอยู่ในถ้ำใต้บาดาล นายเรือผู้นั้นจึงคิดเปลี่ยนการตีระฆังเรือมาตีอย่างมาก 8 ที ตั้งแต่นั้นมามังกรไฟจึงต้องนอนคอยจนกระทั่งบัดนี้


นอกจากนี้ยังมีนิทานท้ายเรือเรื่องผีเสื้อสมุทรเกาะร้างกลางทะเลและอื่น ๆ อีกหลายเรื่องแต่ละเรื่องมีเนื้อหาในการเล่าคล้าย ๆ กัน จบด้วยการที่ไม่ตีระฆังเกิด 8 ทีนั้น ก็เพราะความเปลี่ยนใจของนายเรือเป็นต้นเหตุ นิทานท้ายเรือนั้น เป็นเรื่องที่จะเชื่อได้หรือไม่เพียงไรขอให้อยู่ในดุลพินิจของท่านเอง เพราะบางครั้งคนโบราณก็คิดสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ขึ้นมาแต่เกรงคนจะหลงลืม เช่น เล่าเรื่องนกยูงว่าจะออกจากรัง ก็สวดมนต์กลับมาก็สวดมนต์ จึงแคล้วคลาดอันตราย วันหนึ่งนกยูงลืมสวดมนต์จึงได้รับอันตราย ดังได้กล่าวไว้ในโมระปริตสูตร จุดสำคัญก็เพื่อจะให้จำมนต์บทนั้นได้ดังนี้ เป็นต้น

อย่างไรก็ดีประเพณีการตีระฆังเรือ 8 ทีนี้ ได้ถือเป็นประเพณีทั่วกัน เว้นแต่ในราชนาวีอังกฤษได้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง คือระฆังจะตี 1 ทีแทน 5 ที เมื่อเวลา 1830 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากก่อการกำเริบขึ้น เนื่องจากเสียงระฆังเรือ 5 ที เมื่อเวลากลับนั้นเป็นสัญญาณในการลงมือก่อการกำเริบ ซึ่งได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2340 นอกจากนั้นราชนาวีอังกฤษในเวลากลางคืน เมื่อถึงเวลา 5 นาทีจะเปลี่ยนยาม ระฆังเรือจะตีเบา ๆ 1 ที (Little one Bell) เพื่อเป็นการแสดงว่าให้ยามใหม่มาเข้าแถวรวมกัน คำว่า Little one Bell จึงเป็นภาษาที่ใช้เรียกผู้ที่ชอบมารับยามช้าจนติดนิสัยอีกด้วย

ในราชนาวีองกฤษยังมีประเพณีเก่าแก่ในการให้นายทหารอายุน้อยที่สุดตีระฆัง 16 ที เมื่อเวลาเย็นวันจะขึ้นปีใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจากประเพณีของชาวโรมันในการลดยศและตำแหน่งเมื่อเปิดพิธีตรุษ


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

การสละเรือใหญ่

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

เมื่อเรือต้องประสบภัยพิบัติในทะเล และเป็นความจำเป็นต้องทิ้งเรือไป เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งเรียกว่าสละเรือใหญ่นั้น นิติธรรมของชาวเรือมีอยู่ว่า “สตรีและเด็กจะต้องจัดให้ได้รับการสละเรือใหญ่ก่อนผู้อื่น ผู้บังคับการเรือ (นายเรือ) จะต้องไปจากเรือเป็นคนสุดท้าย” สำหรับผู้บังคับการเรือ ถ้าไปจากเรือเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยไม่พากเพียรจนสุดความสามารถ ในอันที่จะทำการแก้ไขให้เรือพ้นอันตรายหรือรู้อยู่ว่ายังมีคนอยู่ในเรือ นอกจากเป็นการผิดติติธรรมดังได้ยกมาแสดงแล้ว ในราชนาวีไทยยังถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายอาญาทหารอีกด้วย

สำหรับทหารเรือ หากพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึก จนเรือมีเหตุต้องจมลงนั้น เราจะต้องทำลายยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประจำอยู่ในเรือ ให้เสียหายไม่สามารถใช้งานได้อีก ไม่ว่าจะเป็น ปืนกล , ปืนใหญ่ , เครื่องจักร , เครื่องไฟฟ้า , เอกสารสำคัญที่เป็นความลับ , คู่มือของเครื่องยนต์ ฯลฯ ก่อนที่ประจำเรือ ทั้งหมดจะสละเรือ หรือที่ภาษาทหารเรือเรียกว่า สละเรือใหญ่ หรือ สถานีสละเรือใหญ่ เมื่อเรือเสียหายและมีน้ำเข้าเรือเป็นจำนวนมาก จนเรือเสียการทรงตัวจนไม่สามารถกู้ให้เรือกลับมาทรงตัวได้อีก และเรือมีทีท่าว่าจะจมลงไปเรื่อยๆ ผู้บังคับการเรือจะสั่งการให้สละเรือใหญ่ ซึ่งจ่ายามจะประกาศ “เตรียมสละเรือใหญ่” จากนั้น ทุก ๆ คนจะทำหน้าที่ของตน ซึ่งได้ฝึกมาแล้ว หลังจากนั้น ทุกคนก็จะกระโดดลงเรือ , แพ หรือ กระโดดลงน้ำเลย หากเรือ แพไม่พอ (อาจจะปฏิบัติขั้นตอนนี้ก่อนที่สิ้นเสียงของผู้บังคับการเรือก็ได้) และพายหรือว่ายให้ห่างออกจากเรือให้ไกลและเร็วที่สุด เพื่อป้องกันน้ำดูด จากการที่เรือจมลงไปในน้ำ หลังจากที่เรือจมลงแล้ว ก็จะกลับมารวมตัวกันใหม่ เพื่อเดินทางสู่แผ่นดินพร้อม ๆ กันต่อไป


การสละเรือใหญ่ ไม่ได้หมายถึงความขลาดกลัวของทหารเรือ แต่เป็นเพราะเรือไม่สามารถลอยลำได้อีกต่อไปแล้ว จะดันทุรังตายไปกับเรือ ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ดังนั้น ทหารเรือจึงต้องเอาชีวิตรอด เพื่อที่จะรบต่อไปในภายภาคหน้า เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมายังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปใช้ในสนามรบได้เสมอ


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

การชักหวูดเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

หวูดเรือ เป็นสัญญาณในการเดินเรือ บอกทางเดินเรือในกรณีที่เรือเข้าที่คับขันมีหมอก เรียกคนประจำเรือลง เรือสินค้าโดยสารใช้เรียกคนโดยสารให้ทราบว่า เรือเตรียมเดินทางและเป็นการทดลองหวูดด้วย เป็นต้น ในกรณีพิเศษ เช่น แสดงความยินดีต้อนรับผู้มีเกียรติ หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่าน หรือในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้เป็นสัญญาณภัยทางอากาศอีกด้วย

ไซเร็น หวูดที่แจ้งสัญญาณอันตรายหรือหวูดที่ใช้สำหรับสัญญาณเวลามีหมอก ได้ชื่อมาจากเทพธิดาในนิยายโบราณของกรีกชื่อไซเร็น (SIRENS) ซึ่งเป็นพวกที่มีความงดงามมากแต่ก็มีความโหดเหี้ยมมาก เช่นกัน พวกเธอใช้เสียงอันมหัศจรรย์ของเธอล่อให้ชาวเรือไปหาแล้วก็ฆ่าเสีย แต่วีรบุรุษหนุ่มยูลิซิส (ULYSSES) ก็ยังสามารถเอาชนะได้ โดยการมัดตัวเองไว้กับเสากระโดงเรือ และให้พวกลูกเรือของเขาอุดหูเสียจนไม่ได้ยินเสียอะไร และกระเชียงเรือผ่านย่านอันตรายไปอย่างปลอดภัย



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

การไว้ทุกข์ของเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

ในประเพณีโบราณ การไว้ทุกข์ของเรือแสดงด้วยการปล่อยให้เรืออยู่ในสภาพที่ไม่เป็นระเบียบ เช่น กระดกพรวนต่าง ๆ ขึ้นแนบเสา ปลดนบบรันออก ปล่อยให้หางเชือกห้อยเสาใหญ่ล้มไปทางกราบขวา เสาหัวล้มไปทางกราบซ้าย ทำการยิงปืนทุก 15 นาที ตั้งแต่ 0800 – ดวงอาทิตย์ตก และชักธงท้ายครึ่งเสา ในปัจจุบันคงเหลือเพียงชักธงครึ่งเสาเป็นประเพณีสากลของโลก รวมทั้งเรือสินค้าด้วย

ตามข้อบังคับทหาร ได้กำหนดเพิ่มเติมไว้ กล่าวคือ

  • สำหรับ ธงราว ให้ชักขึ้นเพียง 2 ใน 3 ของเสา
  • สำหรับเรือที่มีศพของผู้ที่มีธงหมายเกียรติยศ หรือตำแหน่งยศตาม พรบ.ธงอยู่ในเรือ ให้ชักธงหมายยศสำหรับผู้นั้นเพียงกึ่งเสา
  • เมื่อมีทหารประจำเรือ หรือข้าราชการที่โดยารมากับเรือถึงแก่กรรมในเรือนั้น ให้ชักธงกึ่งเสาในเวลาที่ยกศพลงจากเรือ สำหรับเรือที่จอดอยู่ในที่เดียวกันให้ปฏิบัติด้วย
  • ชักธงไว้ทุกข์ขณะไปจอดร่วมอ่าว ณ ต่างประเทศที่มีสัมพันธไมตรี และเรือรบหรือรัฐบาลนั้นๆ มีการชักธงไว้ทุกข์


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ
  • ข้อบังคับทหาร ว่าด้วยการไว้ทุกข์ พ.ศ.2484

พิธีปลงศพในทะเล

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

เป็นพิธีที่สืบเนื่องกันมา เดิมเป็นพิธีปลงศพพวกนอกศาสนาเพื่อแก้บนพระเจ้าและให้ใส่เหรียญเงินในปากผู้ตายเป็นค่าโดยสารคนแจวเรือจ้าง Charon ในการข้ามฟากแม่น้ำ Styx ในเมืองผี ตามประเพณีโบราณนั้นการเตรียมศพก่อนปลงลงทะเลใช้ห่อศพด้วยผ้าใบ แล้วเย็บให้แน่นตามรูปศพ การเย็บครั้งสุดท้ายนั้นให้เอาเข็มแทงลอดเข้าไปในจมูกของผู้ตาย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตายจริง ราชนาวีอังกฤษให้ค่าจ้างคนเย็บผ้าใบห่อศพนี้ศพละ 1 กินี

ในปัจจุบัน การปลงศพในทะเลเกือบจะไม่มีเลย ยกเว้นในเวลาสงครามซึ่งจะต้องกระทำด้วยความจำเป็น จึงจำเป็นต้องทราบพิธีนั้นด้วย เมื่อเตรียมศพเรียบร้อย โดยการห่อด้วยผ้าใบหรือใส่โลงพร้อมด้วยน้ำหนักสำหรับถ่วง แล้วคลุมด้วยธงชาติ นายทหาร และทหาร ทุก ๆ คนที่ไม่มีกิจจำเป็นต้องมาร่วมพิธีทั้งหมด เพื่อเป็นเกียรติแก่ศพ เมื่อผู้บังคับการเรือหรือผู้แทนกล่าวคำไว้อาลัย (ต่างประเทศใช้อนุศาสนาจารย์ประจำเรือ) กล่าวจบแล้วเปิดฐานรองหีบศพและชักผ้าธงออก ร่างของผู้ตายจะพุ่งลงทะเลไป แตรหรือนกหวีดเป่าเพลงนอนด้วย ในเวลาปกติจะกระทำต่อเมื่อนายทหารเรือหรือทหารซึ่งถึงแก่กรรมบนบกได้ทำพินัยกรรมไว้ หรือขอร้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

พิธีข้ามเส้นอีเควเตอร์

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

เป็นพิธี ซึ่งนับว่าเป็นที่สนุกสนาน ได้จัดทำขึ้นในโอกาสที่เรือข้ามเส้นอีเควเตอร์นั้นเอง ไม่ทราบว่ามีที่มาอย่างไร แต่ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ดีทั่วไปว่า พิธีเหล่านี้ได้จัดทำมานานแล้ว เมื่อเรือข้ามเส้นขนานละติจูดที่ 30 และเมื่อเดินเรือผ่านช่องยิบรอลตาร์ ก็ได้จัดทำเหมือนกัน พิธีต่าง ๆ แต่โบราณเป็นของหยาบคายและรุนแรง เพื่อทดลองว่าลูกเรือซึ่งเป็นคนหน้าใหม่ต่อการเดินเรือครั้งแรกนั้น จะสามารถทนต่อชีวิตอันตรากตรำในทะเลได้หรือไม่ และถือตามกันมาเป็นประเพณีตราบเท่าปัจจุบัน ตามรายงานปรากฏว่าพวกไวคิงส์ (Vikings) ในสมัยโบราณได้กระทำในพิธีต่าง ๆ เหล่านี้เมื่อเดินเรือข้ามเส้นขนานละติจูดต่าง ๆ เป็นที่เชื่อกันว่าพิธีต่าง ๆ ในปัจจุบันได้แก่เข้าไปในหมู่พวกชาวแองโกลส์แซกซอนส์และนอร์แมนส์ โดยพวกไวคิงส์นั่นเอง

ในสมัยโบราณ ได้จัดทำพิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นการแก้บนหรือแนะนำตัวแก่พระสมุทร (King Neptune) และกระทำกันอย่างไม่มีขอบเขต ทหารเรือที่ได้ผ่านพิธีมาแล้วถูกเรียกว่า “ทหารเรือชั้นลายคราม” และจะได้รับประกาศนียบัตรประจำแสดงหลักฐานพยานนี้ไว้ ในประกาศนียบัตรนั้นจะแสดงว่าได้เคยข้ามอีเควเตอร์ทีแลต. 00–00 ลอง…………และโดยปกติกล่าวว่า “บรรดา นางเงือก พระยานาค ปลาฉลาม ปลาโลมา ปลาดิลพีน ปลาเสกด ปลาไหล ปลิงทะเล กุ้ง ปู ลูกกบและเขียด และสัจว์ที่มีชีวิตทั้งหลายในทะเลเป็นพยาน………..(นาม) เป็นผู้หนึ่งที่ได้เคยข้ามอีเควเตอร์มาแล้ว จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถพอและควรได้รับเกียรติยศเข้าอยู่ในคณะของเรา และจดนามลงในบัญชี ตามประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งห้วงสมุทร ตามเยี่ยงอย่างที่มีมาแต่โบราณกาล” ตัวละครในพิธีก็มี พระสมุทร แม่พระคงคา ปีศาจใต้ทะเล อาลักษณ์ อายุรแพทย์ ทันตแพทย์ ผี หมี ฯลฯ ตัวผู้ถือสาสน์ก็เรียกตรีตัน ผุ้ตามเสด็จอื่น ๆ ก็มี เฮติส เป็นต้น พิธีเหล่านี้นอกจากจะเป็นการทดลองความอดทนแล้ว นายทหารผู้น้อยต้องเข้าพิธีด้วยทุกคนเพื่อเป็นการสนุกครึกครื้นและเป็นการเชื่อมความสามัคคีอีกอย่างหนึ่งด้วย



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

พิธีบูชาแม่ย่านางเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

เรือรบลำใดจะยาตราออกทะเลกันที ก็ต้องมีพิธีวีตอง และถือกันเป็นประเพณีของชาวเรือทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นการสวัสดิมงคลนั่นเอง มิใช่เป็นการนิมนต์พระมาสวดมนต์หรือเลี้ยงส่งอะไร แต่ก็นับว่าเป็นพิธีที่ชาวบ้านไม่ค่อยจะได้พบเห็นเวลาทหารเรือเขาทำกันนัก เพราะพิธีนี้คนเดียวก็ทำได้และทำเงียบ ๆ ไม่อึกทึกครึกโครมอะไร และถ้าหากว่าเรือลำใดไม่ค่อยสนใจหรือลืมทำพิธีอย่างว่านี้ ก็อาจจะประกันไม่ได้ว่าจะเกิดสวัสดิมงคล หรือไม่เคยมีตัวอย่างมาแล้ว บางทีเครื่องจักรขัดข้องเอาเสียเฉย ๆ ทำเอาต้นกลปวดหัว เรือไม่ยอมออกหรือไม่ก็แล่นออกไปติดตื้น ชนใครต่อใครไม่เลือกนอกจากนี้ยังมีอุบัติเหตุอื่น ๆ อีกหลายอย่าง อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเป็นยามสงครามพิธีอย่างว่านี้ย่อมมีความสำคัญ และดูเหมือนจะมีอิทธิพลเกี่ยวกับความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ พวกชาวเรือเท่านั้นที่มักจะรู้ดี เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นและจะไม่ให้บังเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเขาเหล่านี้มีความเชื่อศรัทธาอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ชาวเรือมักจะถือกันว่ามีแม่ย่านางเรือคุ้มครองรักษา เช่นเดียวกับบรรดาสิ่งใหญ่ ๆ ทั้งหลายทั่วไป เช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ ก็ยังมีรุกขเทวดา เป็นต้น ดังนั้น เวลาเรือรบจะออกทะเลกันแต่ละครั้ง ผู้บังคับการเรือจะเป็นผู้ทำพิธีเงียบ ๆ มีจัดดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไว้บูชาแม่ย่านางเรือที่ตอนหัวเรือสุด แล้วก็กล่าวคำอธิษฐานขอให้มีความสวัสดิมงคลต่าง ๆ นานา เมื่อได้กล่าวคำอธิษฐานจบแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

พิธีสวนสนามทางเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

พิธีสวนสนามทางเรือ เป็นพิธีที่สำคัญพิธีหนึ่งของทหารเรือ ที่จัดให้มีขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลสำคัญ ๆ ของประเทศหรือต่างประเทศตามที่จะเห็นสมควร พิธีสวนสนามทางเรือของกองทัพเรือ เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ในปี พ.ศ. 2457 กองทัพเรือได้จัดให้มีพิธีสวนสนามทางเรือขึ้นตามแบบประเทศตะวันตก พิธีสวนสนามทางเรือคงจะนำแบบอย่างมาจากพิธี CORONATION REVIEW ของอังกฤษ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจากพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว จะเสด็จพระราชดำเนินตรวจเรือ พิธีนี้ได้กระทำขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ในปี พ.ศ. 2496 ทางอังกฤษได้จัดให้มีพิธีพระบรมราชาภิเษกสมเด็จพระนางเจ้าอาลิซาเบธที่ 2 รัฐบาลไทยได้รับเชิญให้ส่งเรือหลวงเข้าร่วมพิธีด้วย กองทัพเรือได้ส่ง ร.ล.โพสามต้น ไปร่วมพิธีโดยได้เดินทางออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2496 แล้วเข้าร่วมในพิธี เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2496 และได้เดินทางกลับถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2496 ต่อมาในปี พ.ศ.2497 กองทัพเรือได้จัดให้มีพิธีสวนสนามทางเรือขึ้นตามแบบประเทศตะวันตกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2497 ณ บริเวณบางแสน จังหวัดชลบุรี โดยจัดเป้นกองเรือฝึกประกอบด้วยเรือหลวง จำนวน 45 ลำ โดยมีจอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ยุทธศาสตร์โกศล) ขณะมียศ พล.ร.อ. ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บังคับกองเรือฝึก และมี พล.ร.อ.หลวงชำนาญ อรรถยุทธ์ (เอื้อน กุลไกรเวส) ขณะมียศ พล.ร.ท. ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นรองผู้บังคับกองเรือฝึก


ในวันที่ 31 ตุลาคม 2497 กองเรือฝึกได้รวมพล ณ บริเวณหน้าบางแสน เรือในหมวด 1 ประกอบด้วย

  • เรือปืนและเรือใช้ตอร์ปิโด ได้แก่ ร.ล.สุโขทัย เป็นเรือหัวหน้าหมวด ร.ล.รัตนโกสินทร์ ร.ล.ชุมพร ร.ล.ปัตตานี ร.ล.ระยอง ร.ล.กันตัง ร.ล.คลองใหญ่ ร.ล.ตากใบ เรือหมวด 1 นี้ แล่นด้วยความเร็ว 10 นอต
  • เรือในหมวด 2 ประกอบด้วยเรือปราบเรือดำน้ำ ได้แก่ ร.ล.บางปะกง เป็นเรือหัวหน้าหมวด ร.ล.ตองปลิว ร.ล.ลิ่วลม ร.ล.ล่องลม ร.ล.สารสินธุ ร.ล.สุครีพ ร.ล.พาลี เรือ ปร.11 ปร.12 ปร.13 ปร.14 ปร.15 ปร.16 เรือในหมวด 2 นี้ แล่นด้วยความเร็ว 14 นอต
  • เรือในหมวด 3 ประกอบด้วยเรือกวาดทุ่นระเบิด ได้แก่ ร.ล.บางระจัน เป็นเรือหัวหน้าหมวด ร.ล.หนองสาหร่าย ร.ล.บางแก้ว ร.ล.ท่าดินแดง ร.ล.ลาดหญ้า แล่นด้วยความเร็ว 12 นอต
  • เรือในหมวด 4 ประกอบด้วย เรือบริการ ร.ล.อ่างทอง เป็นเรือหัวหน้าหมวด ร.ล.สีชัง ร.ล.กูด ร.ล.ไผ่ ร.ล.ปราบ ร.ล.สัตกูด แล่นด้วยความเร็ว 10 นอต และ ร.ล.อาดัง ร.ล.มัตโพน ร.ล.ราวี ร.ล.โกลำ ร.ล.ตะลิบง ร.ล.สมุย ร.ล.ปรง ร.ล.จาน แล่นด้วยความเร็ว 6 นอต

ในเวลา 10.00 น. ร.ล.แม่กลอง ได้นำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (จอมพลเรือ ป.พิบูลสงคราม) ตรวจพลด้วยความเร็ว 10 นอต ตามเส้นทางที่กำหนดผ่าน ร.ล.สุโขทัย เป็นเรือลำแรกผ่านเรือใน หมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งจอดอยู่ในแถวเดียวกันระยะต่อระหว่างเรือ 300 เมตร เมื่อหมดแถวที่ 1 ซึ่งมีเรือทั้งสิ้น 22 ลำ แล้วจึงวกอ้อมผ่านเรือในหมวด 3 และหมวด 4 ซึ่งอยู่อีกแถวหนึ่ง ระยะเคียงระหว่างแถว 600 เมตร เรือในแถวที่ 2 นี้มีเรือ 19 ลำ

เวลา 11.00 น. ร.ล.สุโขทัย ชักธงระวังสมอ เรือต่าง ๆ ที่สวนสนามชักธงระวังสมอตามแล้ว ร.ล.สุโขทัย ยิงสลุต 1 นัด เป็นสัญญาณเริ่มสวนสนาม เรือต่าง ๆ ออกแล่นผ่าน ร.ล.แม่กลอง ในระยะ 200 เมตร ตามลำดับ เมื่อเริ่มสวนสนาม แตรวงใน ร.ล.สุริยะ บรรเลงเพลงมาร์ช เครื่องบินของกองทัพอากาศแปรขบวนเหนือกองเรือประมาณ 20 นาที เรือต่าง ๆ เมื่อแล่นผ่าน ร.ล.แม่กลองแล้ว คงแล่นต่อไปด้วยเข็มเดิม จนกระทั่งยอดเขาแหลมสามมุขอยู่ในแบริ่ง 090 องศา จึงเลี้ยวซ้ายเปลี่ยนเข็มเป็น 270 องศา แล้วต่างหมวดต่างสั่งเรือในหมวดรวมกอง และจัดกระบวนเดินทางกลับสัตหีบ

พิธีสวนสนามทางเรือของทหารเรือตามแบบประเทศตะวันตก ได้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นพิธีที่สำคัญของทหารเรือพิธีหนึ่ง สถานที่ที่จะใช้ในการสวนสนามก็เปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ส่วนเครื่องบินที่ร่วมในพิธีสวนสนามทางเรือในปัจจุบันใช้เครื่องบินของทหารเรือ


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑