Category: Uncategorized

นาวาตรี สมรักษ์ คำสิงห์

⇑ บุคคลสำคัญ

นาวาตรี สมรักษ์ คำสิงห์ สมรักษ์ เกิดเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2516 ที่หมู่บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านแฮด) ครอบครัวยากจน เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวน 3 คน ของ นายแดงและนางประยูร คำสิงห์ มีชื่อเล่นว่า “บาส” มีพี่ชายซึ่งเป็นนักมวยด้วยเหมือนกัน คือ สมรถ คำสิงห์ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “รถ” นอกจากนี้บิดาก็เป็นนักมวยเก่าด้วยเช่นกัน สมรักษ์เข้าเรียนครั้งแรกที่ โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาโนนสมบูรณ์ เขาได้รับการฝึก การชกมวยไทยตั้งแต่เด็ก ขึ้นชกครั้งแรกขณะอายุ 7 ปี และได้ตระเวนชกตามเวทีงานวัดต่าง ๆ และได้รับการทาบทามจาก ณรงค์ กองณรงค์ หัวหน้าคณะณรงค์ยิมให้มาร่วมค่าย สมรักษ์จึงขอขึ้นชกมวยไทยในชื่อ สมรักษ์ ณรงค์ยิม และกลายเป็นนักมวยมีชื่อในแถบจังหวัดขอนแก่น ต่อมา ณรงค์กับนายแดง ซึ่งเป็นพ่อของสมรักษ์เกิดบาดหมางกัน สมรักษ์จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์อรัญ และเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ โดยได้ไปเรียนที่ โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา เขาได้ชกทั้งมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ขึ้นชกมวยไทยในชื่อ “พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ” แต่พอสมรักษ์ขึ้น ม.2 พ่อก็ถึงแก่กรรม จากนั้น สมรักษ์ก็ได้ตระเวนชกตามเวทีต่างทั้ง ชลบุรี สำโรง อ้อมน้อย เจนสังเวียนมากขึ้นจึงขึ้นชกมวยที่เวทีมาตรฐานทั้งเวทีราชดำเนิน และเวทีลุมพินี ได้มีโอกาสขึ้นชกกับนักมวยชื่อดังหลายคน เช่น ชาติชายน้อย ชาวไร่อ้อย, ช้างน้อย ศรีมงคล, บัวขาว ป.พิสิษฐ์เชษฐ์, ฉมวกเพชร ช่อชะมวง จนปี พ.ศ. 2538 จึงขึ้นชกมวยไทยครั้งสุดท้าย ชนะน็อค สุวิทย์เล็ก ส.สกาวรัตน์ ยก 4 แล้วจึงหันมาเอาดีด้าน มวยสากลสมัครเล่นอย่างเดียว ค่าตัวสูงสุดที่ได้รับจากการชกมวยไทยอยู่ที่ราว 180,000 บาท จัดเป็นนักมวยเงินแสนคนหนึ่ง


เมื่อสมรักษ์จบ ม.6 จากโรงเรียนผดุงศิษย์ฯ ได้ขึ้นชกในนามสโมสรราชนาวี และได้รับการบรรจุให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือ สมรักษ์ประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ เขาได้เข้าสู่ทีมชาติครั้งแรก ในการแข่งขันโอลิมปิก ที่บาร์เซโลนา ในปี พ.ศ. 2535 สมรักษ์เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากการเป็นนักกีฬาไทย ที่ได้เหรียญทองเพียงคนเดียว ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2537 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกือบจะถูกตัดสิทธิ์ เพราะตรวจสมรรถภาพร่างกายไม่ผ่านในครั้งแรก ต่อมา พ.ศ. 2538 สมรักษ์ได้เหรียญทองจากกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ และผ่านการคัดเลือก ไปแข่งกีฬาโอลิมปิกรอบสุดท้ายได้เป็นผลสำเร็จอีกครั้ง สมรักษ์โด่งดังถึงที่สุดในปี พ.ศ. 2539 เมื่อสมรักษ์สามารถคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาได้ โดยชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ด้วยคะแนน 8-5 เส้นทางสู่ทองประวัติศาสตร์เริ่มจากรอบแรกเอาชนะแดเนี่ยล เซต้า นักชกเปอร์โตริโก 13-2, รอบสอง ชนะฟิลิป เอ็นดู จากแอฟริกาใต้ 12-7, รอบสามหรือรอบก่อนรองชนะ รามาส พาเลียนี่ จากรัสเซีย 13-4 และรอบตัดเชือก สมรักษ์ชนะ พาโบล ชาคอน จากอาร์เจนตินาไปได้ 20-8 และท้ายที่สุดเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรียไปได้ ซึ่งก่อนการชกในรอบชิงชนะเลิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้พระราชทานกระเช้าผลไม้มายังสมรักษ์ และทีมงานพร้อมทั้งทรงอวยพรให้สมรักษ์ได้รับชัยชนะด้วย โดยการแข่งขันโอลิมปิคในครั้งนี้ สมรักษ์ ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Kamsing Somluck” โดยเจตนาให้มีนัยทางโชคด้วย ซึ่งการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในครั้งนี้ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้ออกแสตมป์ที่มีรูปการชกรอบชิงชนะเลิศของสมรักษ์ ราคาดวงละ 6 บาท มาด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ และทางกองทัพเรือ (ทร.) ต้นสังกัดก็ได้เลื่อนยศให้สมรักษ์ เป็น เรือตรี (ร.ต.) ซึ่งเดิมสมรักษ์มียศเป็น จ่าเอก (จ.อ.)

ภายหลังจากได้เหรียญทองแล้ว สมรักษ์กลายเป็นบุคคลชื่อดังไปในทันที กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ในเวลาไม่นาน ด้วยจากความเป็นคนมีบุคคลิกเฮฮา สนุกสนาน มีสีสัน น่าสนใจ ภายหลังจากกลับมาจากโอลิมปิคที่แอตแลนต้าแล้ว สมรักษ์ก็มีงานในวงการบันเทิงเข้ามา เริ่มจาก ละครเรื่อง “นายขนมต้ม” ทางช่อง 7 ที่รับบทเป็นนายขนมต้มพระเอกเอง โดยประกบคู่กับ กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ นางเอก และเพื่อน ๆ นักมวยรุ่นพี่อีกหลายคน และนับแต่นั้นมา สมรักษ์ก็มีสถานะเหมือนเป็นดาราคนหนึ่ง มีงานต่าง ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ จนมีเวลาซ้อมชกมวยน้อยลงแต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าฝีมือของตัวเองยังคงเหมือนเดิม ถึงขนาดกล้าทำนายผลการชกล่วงหน้า จนได้ฉายาว่า “โม้อมตะ” ภายหลังตกรอบแรกในโอลิมปิก ที่กรุงเอเธนส์ ปี พ.ศ. 2547 เขาก็ได้เลิกชกมวยสากลสมัครเล่นอย่างเด็ดขาด ปัจจุบัน สมรักษ์ยังคงมีงานในวงการบันเทิง มีผลงานออกมาเป็นระยะ ๆ เขามีกิจการของตัวเอง เช่น ร้านหมูกระทะ ชื่อ “สมรักษ์ย่างเกาหลี” อยู่ย่านเกษตร-นวมินทร์ และมีค่ายมวยของตนเอง ชื่อค่าย “ส.คำสิงห์” ด้านชีวิตครอบครัว สมรักษ์แต่งงานกับนางเสาวนีย์ คำสิงห์ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น โดยทั้งคู่มีบุตรชายหญิงด้วยกันรวม 2 คน


แหล่งอ้างอิง

  • http://athlate.satc.or.th
  • http://www.nangdee.com

นาวาโท วินัย วงศ์ทิม

⇑ บุคคลสำคัญ

นาวาโท วินัย วงศ์ทิม (อดีตแชมป์โลกเรือใบประเภท topcat) เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2493 เป็นบุตรของนายสมานและนางเสมอ วงศ์ทิม อาชีพประมง จบประถมศึกษาที่โรงเรียนไกรแก้วราชรังสรรค์ จังหวัดระยอง เข้ารับราชการทหารเรือมาตั้งแต่ เป็นพลทหาร เป็นครูสอนวิชาแล่นเรือใบ ให้กับสังคมไทยโดยไม่มีการคิดมูลค่า มาเป็นเวลากว่า 30 ปี ท่านเป็น อดีตนักกีฬาทีมชาติไทย โดยมีผลงานตั้งแต่ระดับแชมป์ประเทศไทยไปจนถึงแชมป์โลก โดยเคยเป็นแชมป์โลกเรือใบประเภท topcat มาแล้ว และยังเป็นโคชให้กับนักกีฬาชาติไทย ของสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย และได้สร้างนักแล่นใบให้กับประเทศไทยมานับไม่ถ้วน

สำหรับเส้นทางการเป็นนักกีฬาเรือใบนั้น เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.2515 จ่าตรีวินัย วงศ์ทิม สังกัดกรมอู่ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ฝึกฝน เรียนรู้ การเล่นเรือใบมด ในการแข่งขันกีฬาภายใน กระทั่งชำนาญจึงได้เป็นตัวแทนนักกีฬาเขต ร่วมแข่งขันกีฬาเขตครั้งที่ 8 ใน พ.ศ.2517 และคว้าเหรียญทอง ประเภทเรือซูเปอร์มดมาครอบครอง จากนั้นในปี พ.ศ.2518 ได้ลงเล่นทั้งเรือใบไฟร์บอล และ เรือใบ 470 ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศ รายการชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย อีกทั้งเรือใบเอ็นเตอร์ไพรส์คว้าเหรียญเงิน กีฬาเซียพเกมส์ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ก่อนออกแข่งขันนอกประเทศ พ.ศ.2519 รายการพิเศษ ฉลองเอกราชประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคว้ารางวัลรองชนะเลิศเรือ 470 จากนั้นก็เดินหน้าคว้าเหรียญรางวัลตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงแชมป์โลก โดยร่วมศึกเซียพเกมส์ 1 ครั้ง,ซีเกมส์ 7 ครั้ง, เอเชียนเกมส์ 1 ครั้ง และ ชิงแชมป์โลก จากความชำนาญและประสบการณ์ บวกกับการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด ทำให้ วินัย ได้รับเลือกให้เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาเรือใบ ประจำสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จนกลายมาเป็น ‘ครูวินัย’ แห่งวงการเรือใบ สอนเรือใบออพติมิสต์ รุ่นแรก อาทิ จเร ทิพย์สุข, ประเสริฐ มูลประเสริฐ, เรือโทสมเกียรติ พูลพัฒน์ และ เรือเอกดำรงศักดิ์ วงศ์ทิม ซึ่งสองคนหลังปัจจุบันเป็นโค้ชทีมชาติไทย


วินัยได้รับการเชิดชูเกียรติ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ เป็นคนดีศรีสยาม เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา เมื่อ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ในด้านสัมมากัมมันตะ จากผลงานที่ทำให้กับสังคมมากว่า 30 ปี ปัจจุบันทำงานเป็น ครูฝึกการแล่นใบ ศูนย์สมุทรกีฬา ตำบลสัตหีบ อ.สัตหีบ ชลบุรี เป็น National Coach of Thailand for Sailing วินัย วงศ์ทิม มีลูกชายที่ดำเนินรอยตามคุณพ่อถึงสองคน คือ ดำรงศักดิ์ และ กฤษดา วงศ์ทิม ซึ่งชอบกีฬาแล่นเรือใบ และติดทีมชาติ โดยได้คว้าเหรียญทองมากมายทั้งในและต่างประเทศ


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org
  • http://www.siamsport.co.th

พลเรือตรี วีระพันธ์ วอกลาง

⇑ บุคคลสำคัญ

พลเรือตรี วีระพันธ์ วอกลาง (พลเรือตรีคนแรกด้านสาขาดนตรี) เกิดเมื่อ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2487 บ้านอยู่ใน กรมอู่ทหารเรือ บิดาเป็นข้าราชการทหารเรือ เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือเมื่อปี พ.ศ. 2500 หลังสำเร็จการศึกษา ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งนักไวโอลิน ในวงดุริยางค์ราชนาวี กองดุริยางค์ทหารเรือ และได้รับทุนกองทัพเรือไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหราชอาณาจักร โดยสำเร็จการศึกษาหลักสูตร Band Master จาก Royal Marines School of Music ในปี พ.ศ. 2511 หลักสูตร LRCM. จากสถาบัน Royal Academy of Music สาขาอำนวยเพลงและไวโอลิน ในปี พ.ศ. 2513 หลักสูตร LTCL. จาก สถาบันTrinity College of Music สาขาไวโอลิน ในปี พ.ศ. 2516 ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ท่านได้เรียนการบรรเลงไวโอลินเป็นวิชาเอก และประสบความสำเร็จในการศึกษาอย่างโดดเด่น โดยได้รับรางวัล Harry Fargeon ของสถาบัน จากนั้น เข้าศึกษาวิชาอำนวยเพลงที่ Musik Hoch Shule ในฐานะนักเรียนทุน Deutscher Akademischer Austauschdienst ณ ประเทศเยอรมัน

พลเรือตรี วีระพันธ์ วอกลาง เป็นอาจารย์และผู้อำนวยเพลง ทำหน้าที่เป็น วาทยากรของวงดุริยางค์ราชนาวี กองดุริยางค์ทหารเรือ จนได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงค์ตำแหน่ง พลเรือตรีคนแรกและคนเดียวทางด้านสาขาดนตรี เป็นผู้วางรากฐานและร่วมก่อตั้งวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ (BSO) หลังเกษียณอายุราชการจากกองดุริยางค์ทหารเรือ ยังคงเป็นอาจารย์สอนดนตรี ไวโอลิน วิโอล่า ทฤษฎีดนตรี การประพันธ์เพลง และการอำนวยเพลงที่โรงเรียนดนตรีวีระพันธ์ ดุริยางค์ พลเรือตรีวีระพันธ์ วอกลาง ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) พ.ศ. 2551


สำหรับผลงานเด่นๆ ของท่าน ได้แก่

  • เป็นวาทยากรวงดุริยางค์ราชนาวี และ ผู้บังคับกองดุริยางค์ทหารเรือ (พ.ศ. 2513-2542)
  • เป็นวาทยากรงานกาชาดคอนเสิร์ต เป็นประจำทุกปี (พ.ศ. 2513-2542)
  • ผู้ร่วมก่อตั้ง วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ (BSO) เป็นวาทยากร และ Music Director ท่านแรกของวง (พ.ศ. 2526)
  • ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน Bangkok Symphony School (BSS) (พ.ศ. 2539)
  • ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งคณะดุริยางค์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พ.ศ. 2542-2545)
  • ก่อตั้งโรงเรียนดนตรีวีระพันธ์ ดุริยางค์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และเป็นอาจารย์สอนไวโอลิน วิโอล่า ทฤษฎีดนตรี การประพันธ์เพลง (พ.ศ. 2545-ปัจจุบัน)
  • เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) พ.ศ. 2551
  • ผู้ก่อตั้งและอำนวยเพลง วง Bangkok International Community Orchestra (พ.ศ. 2552-ปัจจุบัน)

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.mixmagazine.in.th
  • https://th.wikipedia.org

เรือตรี ไพศาล ลุนเผ่

⇑ บุคคลสำคัญ

เรือตรี ไพศาล ลุนเผ่ หรือ สันติ ลุนเผ่ (ชื่อที่ใช้ในวงการ) เป็นข้าราชการทหารเรือ ที่มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นนักร้องที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ เขามีผลงานโดดเด่นในด้าน เพลงปลุกใจ และเพลงคลาสสิก โดยเฉพาะ เพลง “หนักแผ่นดิน”, “ความฝันอันสูงสุด”, “ทหารพระนเรศวร”, “ดุจบิดามารดร”, “เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย”, “แด่ทหารหาญในสมรภูมิ” และ “มาร์ชทหารไทย” ไพศาลเกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ในย่านวัดราชบพิธ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของหม่องลุนเผ่ ซึ่งหม่องลุนเผ่นั้น เป็นนักร้องละครชาวพม่า อพยพมาอยู่ ที่จังหวัดลำปาง โดยเขาได้นำชื่อ ลุนเผ่ มาใช้เป็นชื่อสกุล ก่อนย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงเทพมหานคร ไพศาลได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก จนสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาในปี 2496 และศึกษาต่อที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาชื่นชอบดนตรีคลาสสิกมาตั้งแต่เด็ก บิดาซึ่งชอบฟังคารูโซเป็นผู้สอนร้องเพลงให้ นอกจากนี้ ขณะเรียนที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาได้ร่วมวงดนตรีวายุบุตร ของ เชาว์ แคล่วคล่อง และสอบชิงทุนยูธ ลีดเดอร์ชิป (Youth Leadership) ไปศึกษาต่อ ด้านการเรียบเรียงเสียงประสานที่ประเทศอิสราเอลเป็นผลสำเร็จ จากนั้น จึงกลับมาร่วมวงดนตรีวายุบุตรในตำแหน่งนักกีตาร์ โดยเล่นประจำที่โรงแรมเอราวัณ ไพศาลได้รับการฝึกฝนดนตรีคลาสสิกจากการร้องเพลงในโบสถ์คริสต์ ฝึกสอนโดยแมรี คลิฟฟอร์ด เจฟฟรีย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน และได้ร่วมเป็นนักร้องเสียงเทเนอร์ใน วงดนตรี The Bangkok Combined Choir (BBC) ซึ่งเป็นคนไทยเพียงคนเดียวในวง


ในช่วงสงครามเวียดนาม เขาได้สอบหลักสูตร ทรีนิตี้ คอรัส ออฟ ลอนดอน โดยเปิดสอบที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบเกรด 8 ซึ่งเทียบเท่าอนุปริญญา และต่อมาได้ร่วมวงดนตรี โดมิงโกกับนักดนตรีชาวฟิลิปปินส์ ตระเวนเล่นดนตรีตามค่ายทหารอเมริกัน ต่อมาได้ตั้งวงดนตรีร่วมกับพันจ่าเอกธวัช ไพโรจน์ ประจำที่ภัตตาคารสวนกุหลาบ ในซอยอารีย์สัมพันธ์ ไพศาล ลุนเผ่ มีโอกาสได้ขับร้องเพลงคารูโซต่อหน้าพระพักตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในงานเลี้ยงพระราชทานเหล่ากาชาดนานาชาติ ร่วมกับวงดุริยางค์กองทัพเรือ และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ไพศาลเข้าเฝ้า และรับสั่งให้ร่วมขับร้องเพลง บันทึกแผ่นเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ เพลงรักชาติ(เพลงปลุกใจ) ในครั้งนั้น ได้รับสั่งเรียกชื่อ ไพศาล ลุนเผ่ ว่า “สันติ” เขาจึงใช้ชื่อ “สันติ ลุนเผ่” มาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สันติ ลุนเผ่ มีชื่อเสียงจากการขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงรักชาติ เป็นจำนวนมาก เช่น ความฝันอันสูงสุด ทหารพระนเรศวร ดุจบิดามารดร เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย แด่ทหารหาญในสมรภูมิ มาร์ชทหารไทย หนักแผ่นดิน ถามคนไทย ได้เข้ารับราชการทหารเรือ ประจำวงดุริยางค์ทหารเรือ มีหน้าที่สอนขับร้อง และเรียบเรียงเสียงประสาน จนกระทั่ง นาวาเอกสำเร็จ นิยมเดช อดีตผู้บังคับกองดุริยางค์ทหารเรือ เสียชีวิต เขาจึงลาออกจากราชการ เมื่อปี 2532 สันติ ลุนเผ่ ได้ออกไปประกอบอาชีพร้องเพลง สอนขับร้องดนตรีคลาสสิก และเป็นที่ปรึกษาคณบดี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถด้านการแสดง เมื่อปี 2549 เขารับบทเป็น “เจ้าชายอ๊อตโตคาร์” ในละครเวทีเรื่อง “เล่ห์รักพรานป่า” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ คีตกวีชาวเยอรมันอีกด้วย

พันจ่าเอก สันติ ลุนเผ่ ทหารพ้นราชการ สังกัดกองทัพเรือ ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเรือตรี เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้อุทิศตนประกอบคุณงามความดี เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของกองทัพ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่ประเทศชาติ อย่างต่อเนื่อง


แหล่งอ้างอิง

  • http://hilight.kapook.com
  • http://www.matichon.co.th
  • https://th.wikipedia.org

เรือตรี สมยศ ทัศนพันธุ์

⇑ บุคคลสำคัญ

เรือตรี สมยศ ทัศนพันธุ์ (14 มีนาคม พ.ศ. 2458 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2529 ) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงไทยสากล เป็นบุตรของ เรือเอก เจริญ ทัศนพันธุ์ เกิดที่ย่านบ้านหม้อ ถนนเจริญกรุง ที่ร้านเจริญกิจมาลาของผู้เป็นบิดา มารดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก จึงอยู่กับบิดาและแม่เลี้ยง เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดสุทัศน์และโรงเรียนวัดราชบพิธและศึกษาต่อด้านวิจิตรศิลป์ ที่โรงเรียนเพาะช่างชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เคยรวมกลุ่มกับเพื่อนเล่นดนตรี และประกวดร้องเพลงตามงานวัดได้รางวัลมากมาย สมัยเรียนเพาะช่างเกิดขัดแย้งกับแม่เลี้ยงซึ่งไม่พอใจการซ้อมร้องเพลงส่งเสียงดังทุกวัน จึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อน และเลิกเรียนหนังสือ ไปใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ ยึดอาชีพรับจ้างเขียนภาพโพสเตอร์บ้าง วาดรูปบ้าง และร้องเพลง ประกวดตามงานวัดต่าง ๆ ตามที่ตัวเองชื่นชอบและฝังใจส่วนมากชนะเลิศในการประกวดแทบทุกครั้ง การประกวดร้องเพลงทำให้มีโอกาสรู้จักกับครูเพลงดัง ๆ หลายท่าน แต่ที่ใกล้ชิดที่สุดเห็นจะเป็น“จำรัส สุวคนธ์” ครูจำรัสคอยให้ความช่วยเหลือและแนะนำวิธีการร้องเพลงจนเชี่ยวชาญ

วงการเสียงเพลง กองทัพเรือไทยรับสมัครนักร้องและนักแต่งเพลง ประจำกองดุริยางค์ทหารเรือ จึงเข้าไปสมัครแข่ง โดยร้องเพลง “บางปู” ของครูล้วน ควันธรรม ได้ที่หนึ่งและบรรจุเข้ารับราชการ รุ่นเดียวกับสุรสิทธิ์ สัตย์วงศ์ เสน่ห์ โกมารชุน สมศักดิ์ เทพานนท์ และปิติ เปลี่ยนสายสืบ สมยศ ตั้งใจทำงาน รับใช้กองดุริยางค์ทหารเรือมาจนถึงปี พ.ศ. 2488 จึงมีโอกาสได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงครั้งแรก ในเพลง “รักครั้งแรก” แต่งเองร้องเอง ดนตรีโดยวง เนียน วิชิตนันทน์ โดยบันทึกบนเส้นลวด ทำให้เพลงนี้ไม่ได้รับการเผยแพร่ แต่ภายหลังได้ถูกนำมาบันทึกลงแผ่นเสียงอีกครั้งหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ. 2490 สมยศจึงได้มีโอกาสแต่งและร้องเพลงแรกให้กับกองดุริยางค์ทหารเรือ คือเพลง “ลมทะเล” โดยแต่งร่วมกับ ครูสกนธ์ มิตรานนท์ ร้องคู่กับ เอมอร วิเศษสุต เพลงที่ 2 คือเพลง “วอลท์ซนาวี” แต่งร่วมกับครูสกนธ์เช่นเดียวกัน บุญส่ง สุนทรโรหิต และ อุไรวรรณ คล้ายบรรเลง เป็นผู้ขับร้อง เพลง “หน้าที่ทหารเรือ” ท่านแต่งเนื้อร้อง-ทำนอง และร้องนำหมู่เอง หลังจากนั้นก็ได้ บันทึกแผ่นเสียงออกมาเรื่อย ๆ เช่นเพลง “เสียงขลุ่ยนางไพร” “ผู้ครองใจ” ส่วนมากจะเป็นแผ่นเสียง hit master voice ตราสุนัขสลากเขียว ของบริษัทนำชัย มาถึงปี พ.ศ. 2492 เพลง “มนต์เมืองเหนือ” ที่ท่านขับร้อง ซึ่งแต่งโดย ครูไพบูลย์ บุตรขัน โด่งดังสุดๆ ทำให้ทั้งคนร้องและคนแต่งกลายเป็นดาวจรัสฟ้าประดับวงการเพลง และนับจากปี พ.ศ. 2492 – พ.ศ. 2499 ผลงานเพลงของท่านได้รับความนิยมมากมาย เช่น “เรือนหอรอรัก” “แม่นางนกขมิ้น” “วิวาห์น้ำตา” ซึ่งเพลงวิวาห์น้ำตา ท่านแต่งให้ “เฉลิม แก้วสมัย” ขับร้องเมื่อปี พ.ศ. 2496 และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2497 และท่านร้องบันทึกเสียงเองอีกครั้งในปีเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเพลง” “รอยแผลเก่า” “กระท่อมไพรวัลย์” “เซียมซีเสี่ยงรัก” “ช่อทิพย์รวงทอง” “มิตรแห่งความดี” เป็นต้น “สมยศ ทัศนพันธุ์” เป็นผู้แต่งทำนองเพลงให้กับกองดุริยางค์ทหารเรือ ร่วมกับ ครูสกนธ์ มิตรานนท์ ผู้แต่งคำร้อง เช่น “ลมทะเล” “วอลท์ซนาวี” “หน้าที่ทหารเรือ” และเพลงดัง เช่น “เซียมซีเสี่ยงรัก” “รอยแผลเก่า” “น้ำตาผู้ชาย” “ดาวร่วง” “รักครั้งแรก” “ขวัญอ่อน” “เกล็ดแก้ว” และเป็นผู้สนับสนุนให้ครูพยงค์ มุกดาเข้ามาอยู่ในกองดุริยางค์ทหารเรือด้วย หลังจากรับราชการอยู่เป็นเวลา 16 ปี จนกระทั่งมียศเป็นเรือตรี ในปี พ.ศ. 2499 จึงลาออก และตั้งวงดนตรีในปี พ.ศ. 2502 ออกเดินสายรับใช้แฟนเพลงทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าวงดนตรี “สมยศ ทัศนพันธุ์” เป็นวงดนตรีวงแรกที่ออกเดินสายต่างจังหวัด


การรับรางวัล ปี พ.ศ. 2508 ท่านประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต การเป็นนักร้องอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับแผ่นเสียงทองคำพระราชทานในฐานะนักร้องชายยอดเยี่ยม ประเภทลูกทุ่ง จากเพลง “ช่อทิพย์รวงทอง” ผลงานของพยงค์ มุกดา บันทึกเสียงเมื่อ พ.ศ. 2498 ในงานประกวดแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2508 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 โดย ป.วรานนท์ นับเป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ในปี พ.ศ. 2528 ท่านได้รับรางวัล “ส่งเสริมเยาวชนดีเด่น” จากสำนักนายกรัฐมนตรีในเพลง “มิตรแห่งความดี” ขับร้องโดย กรองทอง ทัศนพันธุ์ บุตรสาวคนที่ 4 นับเป็นรางวัลเกียรติยศครั้งที่ 2 ที่ได้รับ

บั้นปลายชีวิต วงดนตรี”สมยศ ทัศนพันธุ์” อยู่รับใช้แฟนเพลงมาจนถึงปี พ.ศ. 2515 ก็เลิกวง เนื่องจากอายุมากขึ้น และหันมาร้องเพลงประจำตามห้องอาหารไนท์คลับ จนถึงปี พ.ศ. 2520 จึงเลิกร้องเนื่องจากเริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ยังรับเชิญไปร้องอยู่บ้างเฉพาะที่เป็นงานสำคัญ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 – พ.ศ. 2529 โรคภัยไข้เจ็บได้รุมเร้าแทรกซ้อนเข้ามาหลายโรค เช่น นิ่วในไต, ปอดอักเสบ จนต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวชิรพยาบาล, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ครั้งสุดท้ายได้เข้าโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2529 และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2529 เวลา 04.39 น. ด้วยโรคหัวใจ รวมอายุได้ 71 ปี


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org

นาวาตรี พยงค์ มุกดาพันธ์

⇑ บุคคลสำคัญ

นาวาตรีพยงค์ มุกดาพันธ์ หรือ ครูพยงค์ มุกดา (4 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553) นักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลง ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงเป็นจำนวนมาก ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2534 และได้รับรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2550

พยงค์ มุกดา เป็นชาวจังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายแก้ว และนางบุญ มุกดา เกิดบนเรือกลางแม่น้ำแม่กลอง บริเวณตำบลท่าเสา จังหวัดราชบุรี จบชั้น ป.4 จากโรงเรียนเทศบาลวัดราชนัดดาราม และเข้าสู่วงการจากการเป็นนักร้องวงดุริยางค์กองทัพบก โดยการสนับสนุนของครูจำปา เล้มสำราญ ต่อมาจึงก่อตั้งวงดนตรี เป็นของตัวเองชื่อ วงพยงค์ มุกดา ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่า “วงมุกดาพันธ์” และเป็นนามสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ครูพยงค์ มุกดา มีผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก เคยเป็นนักร้อง นักแสดง นักจัดรายการวิทยุ เคยแสดงภาพยนตร์ เช่นเรื่อง เสน่ห์บางกอก, ไซอิ๋ว เคยอยู่วงดุริยางค์กองทัพเรือ เป็นผู้ประพันธ์เพลงมาร์ช เช่น “สหมาร์ชราชนาวี”, “มาร์ชสามัคคีสี่เหล่า”, นาวีบลู


ในฐานะนักแต่งเพลง ครูพยงค์ มุกดา มีผลงานทั้งเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และเพลงมาร์ช ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ พระราชทานจากเพลง “นกขมิ้น” (ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ) “ช่อทิพย์รวงทอง” (ขับร้องโดย สมยศ ทัศนพันธ์) “นางรอง” และ “รักใครไม่เท่าน้อง” (ขับร้องโดย ทูล ทองใจ) “ลูกนอกกฎหมาย” (ขับร้องโดย ศรีสอางค์ ตรีเนตร) “รอพี่กลับเมืองเหนือ” (ขับร้องโดย พรทิพย์ภา บูรกิจบำรุง) “เด็ดดอกรัก” (ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร) และ “ฝั่งหัวใจ” ขับร้องโดย บุษยา รังสี)

  • ในปี พ.ศ. 2532 ครูพยงค์ ได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย 2 รางวัล จากเพลง “สาวสวนแตง” (ขับร้องโดย สุรพล สมบัติเจริญ) และ “ล่องใต้” (ขับร้องโดย ชัยชนะ บุญนะโชติ) และในปี พ.ศ. 2534 ได้รับรางวัลพระราชทาน 3 รางวัล จากเพลง “ยอยศพระลอ” (ขับร้องโดย ชินกร ไกรลาศ) “น้ำตาสาวตก” (ขับร้องโดย ศรีสอางค์ ตรีเนตร) และ “ลูกทุ่งเสียงทอง” (ขับร้องโดย เพชร พนมรุ้ง)
  • ในปี พ.ศ. 2534 พยงค์ มุกดา ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ประพันธ์เพลงไทยสากล-เพลงลูกทุ่ง) นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของท่านถึง 2 คน ก็ได้รับเชิดชูเป็นศิลปินแห่งชาติ เช่นกัน คือ ชัยชนะ บุญนะโชติ (พ.ศ. 2541) และ ชินกร ไกรลาศ (พ.ศ. 2542)
  • ในปี พ.ศ. 2551 ครูพยงค์ มุกดา ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินอาวุโส รางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2550

ครูพยงค์ มุกดา ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและไตวายที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รวมอายุได้ 83 ปี


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2441 – 2456

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2441 – 2456
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 1 – รุ่น 16)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.เป้าปุษปาคมนว.
2นนร.เผื่อนธนฤกษ์นว.
3นนร.เนตรเมนะวงศ์นว.
4นนร.แอไอสะนาวินนว.
5นนร.กรดนว.
6นนร.ผันนว.
7นนร.นาคนว.
8นนร.อ้นนว.
9นนร.เท้งนว.
10นนร.สงนว.
11นนร.ปุยสิงหภุกามนว.
12นนร.อี้นว.
13นนร.เล็ก(ดำรง)เศวตนันทน์(แสงสิทธิ์)นว.
14นนร.ปั้นนว.
15นนร.ศรีกมลนาวินนว.
16นนร.บุญมีพันธุมนาวินนว.
17นนร.ตรุษบุนนาคนว.
18นนร.กระแสประวาหะนาวินนว.
19นนร.แนบจารุจินดานว.
20นนร.ทองดีสุวรรณพฤกษ์นว.
21นนร.เทียบนายเรือนว.
22นนร.ห้องหังสนาวินนว.
23นนร.เปลื้องนว.
24นนร.แสงสุคนธฉายนว.
25นนร.แฉล้มสถิรศิลปินนว.
26นนร.แม้นปรีดิขนิษฐ์นว.
27นนร.ม.จ.ภักดิ์พึ่งบุญ ณ อยุธยานว.
28นนร.อั๋นกล.
29นนร.ดี(เรืองเดช)โมนยะกุลนว.
30นนร.กรบอมลักษเฐียร(ชลสินธุ์สงครามชัย)นว.
31นนร.ชะเอกะวิภาตนว.
32นนร.จันทน์ปัญญุตร์นว.
33นนร.แช่มวันประภา(วารุณประภา)นว.
34นนร.ถนอมศุกรคุปต์นว.
35นนร.ลิบรุ่งสัมพันธ์นว.
36นนร.แขนว.
37นนร.แพอติโพธินว.
38นนร.หนอรัตนกุลนว.
39นนร.กลับเพ็ชรชาตินว.
40นนร.แพนว.
41นนร.ฉุยนุติประภานว.
42นนร.คำ(ฤทธิศักดิ์)ปุณฑริกาภานว.
43นนร.กาญจน์ยศกรณ์นว.
44นนร.สวัสดิ์ทุนทุสวัสดิ์นว.
45นนร.หล่ำ(เปสล)กนิษฐภูติ(พิชิตชโลธร)นว.
46นนร.สายนพเสถียร(สิทธิเดชสมุทรขันธ์)นว.
47นนร.เนตรอาคมนันทน์นว.
48นนร.ช้อยชลทรัพย์(ศรการวิจิตร)กล.
49นนร.วาศวิมุกตะลพกล.
50นนร.สง่าจุลเดชกล.
51นนร.บุศย์ชลพินทุกล.
52นนร.จันทรัชฏะชาติ(ดำเนินนาวากุล)กล.
53นนร.ล๊อกโลกะกลินกล.
54นนร.ทองอักษรานนท์กล.
55นนร.ก้านปิยกานต์กล.
56นนร.แต้ม(วัน)จารุภานว.
57นนร.สวัสดิ์เมนะพันธ์นว.
58นนร.ม.จ.พรปรีชากมลาศน์นว.
59นนร.เจียรบุตรานนท์นว.
60นนร.บัวอุปลกลินกล.
61นนร.พุธกุลธอุทัยกล.
62นนร.สงวนคงศิรินว.
63นนร.เจือสหนาวินนว.
64นนร.เกิดชาตะนาวินนว.
65นนร.อินศาสตรินนว.
66นนร.แบนศรีกฤษณ์นว.
67นนร.ปุ๋ยนาคะสิงห์นว.
68นนร.ชมเดชดำรงนว.
69นนร.หาญสุกุมารนันท์นว.
70นนร.จูเมษมานกล.
71นนร.พุธนิยมตรุษกล.
72นนร.ทองโสมะนันท์กล.
73นนร.ทวนทิพยกลิ่นกล.
74นนร.พินพลชาตินว.
75นนร.ฟุ้งพร้อมสัมพันธ์นว.
76นนร.ผาดผาตินาวินกล.
77นนร.แตรศัพทนาวินกล.
78นนร.เปลื้องเหมะวนิชนว.
79นนร.มงคลมงคลนาวินนว.
80นนร.เพ็งนันทิคุปต์(วิสิษฐ์สาคร)นว.
81นนร.มลิมัลลิกะนาวินนว.
82นนร.เสียรราหุลนันทน์นว.
83นนร.ฉัตรวีระฉัตรนว.
84นนร.ผันสสะนาวินนว.
84นนร.ทาโกมลวัจนะ(ปราบสิทธวามิตร)นว.
86นนร.เจ๋อจันทรเวคินกล.
87นนร.แพอุตตโมบลกล.
88นนร.เปลื้องสุภางคะนันทน์กล.
89นนร.แป๊ะ(ประยุทธชลธี)วีราสานว.
90นนร.แสวงหาสตะนันทน์กล.
91นนร.จำปีปุษยะนาวินกล.
92นนร.บุ๋นศุกรบุณย์กล.
93นนร.เริ่มรุมาคมกล.
94นนร.สอนฉายานนท์กล.
95นนร.สาครสิทธิศิรินว.
96นนร.ชื่นนว.
97นนร.จุ่น(เนาว์)สุวรรณคดีนว.
98นนร.เจือสุนะมาลัยนว.
99นนร.วุฒิสุทธิบุตรนว.
100นนร.เสงี่ยมทสานนท์นว.
101นนร.ยังอัมพรทัตนว.
102นนร.หัตถุยุวนากรนว.
103นนร.เรียม(ศรไกรรณรงค์)ภานุสะวะ(พิบูลภานุวัธน์)นว.
104นนร.โชติสุวรรณโพธินว.
105นนร.พันธุมมันทานนท์นว.
106นนร.ตันนว.
107นนร.สนองยุวบูรณ์นว.
108นนร.แถมรัตนโรมนว.
109นนร.กาพย์บุณยมิศรนว.
110นนร.มิ่งนว.
111นนร.บุญรอด(บุญชัย)สวาทะสุขกล.
112นนร.วาศพัทศาสตร์กล.
113นนร.ม.จ.เจริญสุขโสภาคย์ เกษมสันต์กล.
114นนร.แดงลางคุลเสนกล.
115นนร.วงศ์สุจริตกุลกล.
116นนร.เจริญวัฒนะสุวรรณ(ประทีปเสน)กล.
117นนร.พร้อมโหตรภวานนท์(บุณยกลิน)กล.
118นนร.ดีศัลยกลินกล.
119นนร.ถมยารังคะกลิน(กลกิจกำจร)กล.
120นนร.กมลอากาสวิภาต(จักรวิธานสันทัด)กล.
121นนร.เพื้อน(พิชิต)เอมะนาวิน(ปราบอริพ่าย)นว.
122นนร.เนินจุลนิมินว.
123นนร.ลับสมัคจันทร์(ชลวิสัยเสนี)นว.
124นนร.อยู่นายเรือ(ชัยนาวา)นว.
125นนร.ทองสุขภุมมะโสภณนว.
126นนร.สวัสดิ์พันธุมคุปต์(พิจารณ์กลจักร)กล.
127นนร.เที่ยงทิวะกลินกล.
128นนร.ย้อยเสถียรสุตกล.
129นนร.จ้อยเมนะปรีย์กล.
130นนร.หวาน(ชาญ)ชมะนันทน์กล.
131นนร.กิ่มเสรีบุตรกล.
132นนร.สนธิวังสะสนธิ(จักรวิธานนิเทศ)กล.
133นนร.ฮวดควรถนอมกล.
134นนร.หลีจารุภุมนว.
135นนร.จำรูญวัฒนาคม(วรรธนาคม)นว.
136นนร.ประยูรศาสตระรุจิ(ยุทธศาสตร์โกศล)นว.
137นนร.เมฆ(วารีรณชัย)เอโกมลนว.
138นนร.สวัสดิ์สราภานว.
139นนร.เล็กพุธศุกร์กล.
140นนร.ดำกฤษณะกลินกล.
141นนร.สพาทย์ลักษณียนาวินกล.
142นนร.แม้นพรหมพิสุทธิกล.
143นนร.มุ่ยนามศิริกล.
144นนร.เจือสุนทรกลินกล.
145นนร.เหล่าทีปะนาวินนว.
146นนร.เจริญทุมมานนท์นว.
147นนร.พงศ์อาสนะเสนนว.
148นนร.เหลียง(พิศาล)สุนาวิน(สุนาวินวิวัฒ)นว.
149นนร.ต่า(ตรณี)กาญจนะจูฑะนว.
150นนร.สวัสดิ์นีละนิธินว.
151นนร.จิวสถิรนาวินนว.
152นนร.ฮอกลี้บุตรนว.
153นนร.ยี่เลิศภาคนว.
154นนร.สอาดคงคะสุทธินว.
155นนร.ม.จ.ธาดาพันธุ์กมลาศน์นว.
156นนร.แอ๊ดธนูสิงห์นว.
157นนร.อุ่นนว.
158นนร.อั๋นศาสตริน(กลศาสตรเสนี)กล.
159นนร.สอนกลิ่นรอดกล.
160นนร.นพชลัษเฐียรกล.
161นนร.เชื่อมกลันตานนท์กล.
162นนร.เส็ง(กลมัย)หุตะโชคกล.
163นนร.ญี่ปุ่น(วารี)โมราฬาร(วิมุกตะกุล)นว.
164นนร.ม.ร.ว.พงศ์นวรัตน์นว.
165นนร.มีปัทมะนาวินนว.
166นนร.ดัดบุนนาคนว.
167นนร.แดง(สำแดง)พิชชาโชตินว.
168นนร.บุงศุภชลาศัยนว.
169นนร.จำรัสเภกะนันทน์กล.
170นนร.ชื่นจุลวัจนะ(ชาญชยศึก)นว.
171นนร.สวัสดิ์(สวัสดิ์วรฤทธิ์)วรทรัพย์นว.
172นนร.สุวรรณศุภสมุทรนว.
173นนร.เที่ยงชินะนาวินนว.
174นนร.บุญยังนิติศรนว.
175นนร.บุญสมรุชฏวันนว.
176นนร.อิง(อาจณรงค์)ช่วงสุวนิชนว.
177นนร.ดำทังสุบุตรนว.
178นนร.สุภีจันทมาศนว.
179นนร.เธียรประทีปเสน(ชลประทีป)นว.
180นนร.ปุ่นศุภชลัษฐ์นว.
181นนร.อาจหาญสมบูรณ์นว.
182นนร.ศิริอุไทยกรนว.
183นนร.เปรื่องบุณยวิบูลย์นว.
184นนร.เง็ก(พิชัย)พันธุ์โภคานว.
185นนร.แม้นนว.
186นนร.ตุ๋ยเจริญนุตนว.
187นนร.ยู่ฮวด(สุทัศน์)เหล่าวนิชกล.
188นนร.จรูญพิตรากูล(จรูญกลรักษ์)กล.
189นนร.ประเสริฐศิริไพบูลย์กล.
190นนร.สมบุญกายะสุตกล.
191นนร.แปลกกันต์นิกุลกล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

พลเรือเอก สงัด ชลออยู่

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ รายนามผู้บัญชาการทหารเรือ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2478

พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ (หัวหน้าคณะปฏิวัติ 2 สมัย) เกิดเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2458 ที่บ้านเขาพระ หมู่ที่ 11 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายแปลก และนางส้มลิ้ม ชลออยู่ สมรสกับคุณหญิงสุคนธ์ ชลออยู่ (สกุลเดิม สหัสสานนท์)

การศึกษา
– โรงเรียนบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
– นักเรียนนายเรือ รุ่นที่ รุ่น 33 ต้นปี
– เสนาธิการทหารเรือ รุ่นที่ 16
– วิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ 1
– วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 4

ในช่วงเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน-30 มิถุนายน พ.ศ. 2492 ท่านเป็นผู้บังคับการเรือหลวงหลวงสุราษฎร์ธานี เป็นผู้ยิงปืนจากเรือเพื่อป้องกันเรือ ไปยังรถถังของฝ่ายรัฐบาลจนเสียหาย ภายหลังเหตุการณ์ ได้ถูกควบคุมตัวและถูกคุมขังเช่นเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ที่สนามกีฬาแห่งชาติด้วย ในช่วงเหตุการณ์วีรกรรมดอนแตง เรือตรวจการณ์ลำน้ำ 123 สังกัด หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงของฝ่ายไทย ถูกยิงจนเกยตื้น มีผู้เสียชีวิตอยู่บนเรือ ทหารลาวยังคงระดมยิงขัดขวางการกู้เรือเพื่อนำศพผู้เสียชีวิตออกมา พลเรือเอก สงัด ฯ ได้บัญชาการด้วยตนเอง และได้กล่าวประโยคอมตะไว้ว่า “ถ้าไม่ได้ศพคืน ก็ต้องเพิ่มศพเข้าไป” จนทำให้ปฏิบัติการสำเร็จลุล่วง


พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นนายทหารที่มีบทบาทอย่างสูงในทางการเมือง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ท่านเป็นทั้งผู้บัญชาการทหารเรือ ระหว่าง 19 พ.ย. 2516 – 30 ก.ย. 2519 (ผู้บัญชาการทหารเรือ ลำดับที่ 28) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเป็นผู้นำในการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง คือในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 โดยท่านไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองครั้ง จนได้รับฉายาว่า “บิ๊กจอวส์” หรือ “จอวส์ใหญ่” ท่านถึงแก่อนิจกรรมด้วยอาการหัวใจวาย เมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแกลง จังหวัดระยอง รวมอายุได้ 64 ปี 9 เดือน บุคคลที่ใกล้ชิด และเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน มักเรียกชื่อท่านด้วยความเคารพว่า “ครูหงัด”


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.sctr.navy.mi.th
  • https://th.wikipedia.org

พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2462

พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของไทย เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2444 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายอู๋ ธารีสวัสดิ์ กับ นางเงิน ธารีสวัสดิ์ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ และได้ไปศึกษาในแผนกคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นได้สอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรือ(พรรคนาวิน) จนจบการศึกษา เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 หลังจากนั้นเข้าศึกษาต่อในวิชากฎหมาย จนได้เป็นเนติบัณฑิตเมื่อ พ.ศ.2473 ท่านเริ่มเข้ารับราชการในกรมเสนาธิการทหารเรือ และได้ไปฝึกหัดในเรือของบริษัทพาณิชย์นาวีสยาม และ เรือต่างๆ อีกหลายลำ ตามตำแหน่งหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ผู้บังคับบัญชาการ ร.ล.ตอร์ปิโด 4 ต้นเรือตอร์ปิโด ร.ล.พระร่วง นายธง (นายทหารคนสนิท) ของเสนาธิการทหารเรือ ผู้บังคับการเรือรบหลวงตอร์ปิโด 2 ขณะที่ท่านรับราชการในกองทัพเรือ ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และราชทินนามเป็น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

ท่านได้ร่วมอยู่ในคณะราษฎร ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 สายทหารเรือ ซึ่งมี หลวงสินธุสงครามชัย เป็นหัวหน้า เช่นเดียวกับ หลวงศุภชลาศัย หลวงนาวาวิจิตร หลวงนิเทศกลกิจ หลวงสังวรยุทธกิจ และนายทหารเรือคนอื่นๆ รวม 18 นาย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ประเภท 2 ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกในรัฐบาลของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ใน พ.ศ.2476 พร้อมทั้งทำหน้าที่เลขานุการคณะรัฐมนตรีอีกตำแหน่งด้วย ในปี พ.ศ.2477 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชบัลลังก์ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางไปกราบบังคมทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบแทน นอกจากนี้ ใน พ.ศ.2478 ยังเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ต่อมาใน พ.ศ.2481 สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จนท่านจอมพลลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ.2487 ท่านได้รับฉายาว่า “รัฐมนตรีลิ้นทอง” เนื่องจากเป็นคนมีวาทศิลป์ดี ทั้งการพูด และการอภิปรายในสภา ที่เฉียบคม จับประเด็นเก่ง และสามารถหาเหตุผลมาหักล้างคำพูดของฝ่ายตรงข้ามได้ ดังเช่น ในครั้งหนึ่ง เมื่อญี่ปุ่นขอให้รัฐบาลไทยเกณฑ์ชายไทยไปเป็นทหารเข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ท่านได้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องใช้แรงงานชายไทยในการทำไร่ทำนา เว้นแต่ญี่ปุ่นจะหาคนมาทำงานในไร่นาแทนได้ ทำให้ญี่ปุ่นล้มเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว เมื่อ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2489 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม หลังจากที่ ดร.ปรีดีลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 21 สิงหาคม ปีเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติให้ท่านดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทน


ในระยะนั้นเป็นช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งยุติลง ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์อย่างหนัก ทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นมหามิตรกับญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ตกอยู่ในฐานะของ ประเทศผู้แพ้สงครามโดยปริยาย จึงต้องมีการเจรจากับสัมพันธมิตร เพื่อหาทางให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากภาวะดังกล่าว นอกจากนี้ ภายในประเทศเอง ก็ประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างรุนแรง ทั้งการว่างงาน ค่าครองชีพสูง เงินเฟ้ออย่างหนัก และขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค แม้กระทั่งข้าวสาร รัฐบาลของ พล.ร.ต.ถวัลย์ ฯ ได้ดำเนินการให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ และเจรจาต่อรองกับฝรั่งเศสและอังกฤษ เพื่อผ่อนปรนข้อเรียกร้องต่างๆ รวมทั้งการแก้ปัญหาเรื่องการส่งข้าวแก่สหประชาชาติ อังกฤษ และสหรัฐ ตามความตกลงที่มีอยู่ โดยรัฐบาลได้ออก พ.ร.บ.ห้ามกักกันข้าว และหาทางจูงใจให้พ่อค้าขายข้าวแก่รัฐบาล ในส่วนของปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่านได้ตั้งองค์การสรรพาหาร เพื่อซื้อสินค้าซึ่งในเวลานั้นมีราคาแพง มาจำหน่ายแก่ประชาชนในราคาถูก เพื่อตรึงราคาสินค้า และเรียกเก็บธนบัตร ซึ่งสัมพันธมิตรนำมาใช้ในประเทศไทย โดยให้ประชาชนนำมาแลกกับธนบัตรที่รัฐบาลจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ รวมทั้ง การนำทองคำสำรองของประเทศ ออกมาจำหน่าย ทำให้ปัญหาต่างๆ บรรเทาเบาบางลง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงลงได้ในทันทีทันใด พร้อมกันนั้นก็มีเสียงกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รู้เห็นเป็นใจในการส่งข้าวชนิดดีไปต่างประเทศและให้คนไทยกินข้าวหักๆ ที่ใช้เลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการสั่งรถยนต์บูอิค ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้ามาใช้ ในเวลาที่ประเทศกำลังอดอยาก รวมทั้งกรณี การสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ที่รัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความกระจ่างได้ ทำให้ฝ่ายค้าน ซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค เป็นแกนนำ ได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แม้ว่ารัฐบาล จะมีชัยในการอภิปราย แต่ประชาชนที่ได้รับฟังการอภิปราย ซึ่งถ่ายทอดออกอากาศตลอด 8 วัน 8 คืน ก็ค่อนข้างคล้อยตามคำพูดของฝ่ายค้าน ทำให้เกิดกระแสกดดันทางการเมืองอย่างรุนแรง ท่านจึงแสดงมารยาททางการเมือง ด้วยการตัดสินใจลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2490 แต่สภาผู้แทนก็มีมติ ให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เกิดการรัฐประหารขึ้นโดยการนำของ จอมพล ผิน ชุณหะวัณ และพันเอกกาจ กาจสงคราม และเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ท่านต้องเดินทางออกนอกประเทศไปอยู่ที่ประเทศฮ่องกง ภายหลังจึงกลับมาเมืองไทยใช้ชีวิตอย่างสงบ ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2531 ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รวมอายุได้ 87 ปี


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.thaigov.go.th
  • http://www.komchadluek.net
  • https://th.wikipedia.org

หลวงศุภชลาศัย

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2441 – 2456

นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย หรือ บุง ศุภชลาศัย (22 มกราคม พ.ศ. 2438 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2508) มีชื่อจริงว่า บุง ศุภชลาศัย เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2438 ณ ต.ถนนพระอาทิตย์ อ.ชนะสงคราม กทม. เป็นบุตรนายเบี้ยวและนางพ่วง เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดชนะสงคราม โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนวัดราชบูรณะ (โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย) จนจบชั้นมัธยมเมื่อ พ.ศ. 2454 และสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายเรือ หลวงศุภชลาศัย สมรสกับ สวาสดิ์ หุวนันท์ และ หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ประสูติในหม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา (ธิดานายตั๊น ชุ่นเพียว) มีบุตรธิดากับหม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร รวมจำนวน 5 คน

บุง ศุภชลาศัย เข้ารับราชการทหารเรือ เมื่อ พ.ศ. 2461 ประจำการครั้งแรกบนเรือหลวงสุครีพครองเมือง และ ตำแหน่งสุดท้าย คือรองผู้บัญชาการทหารเรือ ต่อมาในรัฐบาล พระยาพหลพลพยุหเสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้สถาปนากรมใหม่ขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 เพื่อจัดการงานด้านพลศึกษาของชาติ มี อำมาตย์เอกพระยาประมวลวิชาพูล (วงษ์ บุญ-หลง) รักษาราชการในตำแหน่งอธิบดี จนกระทั่ง วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 นาวาโท หลวงศุภชลาศัย ร.น. (บุง ศุภชลาศัย) ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นคนแรกอย่างเป็นทางการ หลวงศุภชลาศัย เป็นผู้วางรากฐานการพลศึกษา และกีฬานักเรียนเมืองไทยหลายประการ อาทิเช่น การบรรจุหลักสูตรวิชาพลศึกษา โรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษาทั่วประเทศ การกำหนดสัญญลักษณ์ วงกลมห่วง 3 สี ประดิษฐานอยู่ใต้รูปพระพลบดี ซึ่งห่วงสีขาวแทนพุทธิศึกษา ห่วงสีเหลืองแทนจริยศึกษา และห่วงสีเขียวแทนพลศึกษา หลวงศุภชลาศัย ได้ส่งเสริมการแข่งขันกีฬานักเรียนของกรมพลศึกษา เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2478 กรมพลศึกษา ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน ตรงบริเวณที่เดิมเป็นวังวินเซอร์ เพื่อจัดสร้างสนามกีฬาแห่งชาติ และได้ดำเนินการของบประมาณแผ่นดิน เพื่อใช้การจัดสร้างสนามกีฬา ใช้ชื่อว่า สนามกรีฑาสถาน (National Stadium) และโรงเรียนพลศึกษากลาง เริ่มงาน จวบจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2484 ในขณะที่สนามกรีฑาสถานยังสร้างไม่เสร็จ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการแข่งขันกีฬาประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2481 โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขัน ณ สนามกรีฑาสถาน เป็นครั้งแรก เมื่อ วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 กรมพลศึกษา ได้เปลี่ยนชื่อสนามกรีฑาสถาน เป็น สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย ปัจจุบัน นิยมเรียกสั้นๆ เพียงว่า สนามศุภชลาศัย หรือ สนามกีฬาแห่งชาติ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2485 – 2487 นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย ร.น. ได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลวงศุภชลาศัย ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2508 ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 กรมพลศึกษา ได้ยกย่องและเชิดชูเกียรติให้ท่านเป็น บุคคลพลศึกษาของชาติ สาขาการบริหารการพลศึกษา


หลวงศุภชลาศัย เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ซึ่งในขณะนั้น มียศเป็น นาวาตรี (น.ต.) ได้รับหน้าที่เป็นผู้ถือหนังสืออัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล นิวัติยังพระนคร หลวงศุภชลาศัย ได้เดินทางโดยเรือหลวงสุโขทัย ไปถึงพระราชวังไกลกังวลในเวลา 10.00 น. ในวันที่ 25 มิถุนายน โดยจอดเรือห่างจากชายฝั่งประมาณ 2,500 เมตร และลงเรือเล็กไป โดยสั่งแก่ทหารบนเรือว่า หากตนยังไม่กลับมาในเวลาที่เหมาะสม ให้ระดมยิงได้เลยโดยไม่ต้องห่วงตน เมื่อถึงฝั่ง หลวงศุภชลาศัยได้เข้าเฝ้า ฯ แต่ทางพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธ ด้วยทรงให้เหตผุลว่า เรือหลวงสุโขทัยนั้นคับแคบเกินไป ไม่สมกับพระเกียรติยศ ท้ายที่สุดการเสด็จนิวัติกลับพระนคร ทำโดยทางรถไฟขบวนพิเศษ ที่ทางพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาพระนครและหัวหน้าคณะราษฎรจัดถวาย


แหล่งอ้างอิง

  • ttps://th.wikipedia.org

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑