Category: Uncategorized

อาณาเขตทางทะเล

⇧ กฏหมายทางทะเล

ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 กว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของอาณาเขตทางบก ที่มีอยู่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้นกว่า 2,815 กิโลเมตร ครอบคลุมจำนวน 23 จังหวัด คนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากทะเลไม่เฉพาะแต่ในเขตทางทะเลของประเทศเราเองเท่านั้น หากยังสามารถใช้ทะเลไปถึงนอกเขตทางทะเลของประเทศด้วย เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากทะเลเป็นมาตรฐานเดียวกัน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย กฏหมายทะเล ค.ศ. 1982 จึงได้กำหนดเขตน่านน้ำทางทะเลออกเป็น 6 เขต


  1. น่านน้ำภายใน (Internal Waters) คือ น่านน้ำทางด้านแผ่นดินของเส้นฐาน (baselines) แห่งทะเลอาณาเขต (อนุสัญญาฯ ข้อ 8 วรรคหนึ่ง) เช่น อ่าว แม่น้ำ ปากแม่น้ำ ทะเลสาบ เป็นต้น ซึ่งรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้ำภายใน ในทำนองเดียวกับที่รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (territory) ดังนั้นหากเรือต่างชาติ หรืออากาศยานต่างชาติจะผ่านเข้ามาในเขตน่านน้ำภายในของรัฐชายฝั่ง เรือต่างชาติ หรืออากาศยานต่างชาตินั้นจะต้องขออนุญาตรัฐชายฝั่งก่อน ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเขียวทั้งหมด ซึ่งอยู่ด้านในถัดจากเส้นฐานไปถึงฝั่ง พื้นที่น่านน้ำภายในรวม 61,954.04 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 54,103.47 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 7,850.57 ตารางกิโลเมตร มีอยู่ 5 บริเวณ ดังนี้
    • อ่าวประวัติศาสตร์ ได้แก่พื้นที่บริเวณอ่าวไทยรูปตัว ก. เหนือเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตอ่าวประวัติศาสตร์
    • บริเวณที่ 1 ได้แก่พื้นที่บริเวณแหลมลิง ถึงหลักเขตแดนไทย-เขมร
    • บริเวณที่ 2 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่แหลมใหญ่ ถึงแหลมหน้าถ้ำ
    • บริเวณที่ 3 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่เกาะภูเก็ต ถึงพรมแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อมเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย
    • บริเวณที่ 4 ได้แก่พื้นที่บริเวณตั้งแต่เกาะกงออก ถึงพรมแดนไทย-มาเลเซีย
  2. ทะเลอาณาเขต (Territorial Waters) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ได้กำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตว่าต้องไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลโดยวัดจากเส้นฐาน (baselines) ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีเหลือง ซึ่งรัฐชายฝั่งเป็นผู้กำหนดตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตของตน ซึ่งหมายความรวมถึง อำนาจอธิปไตยในห้วงอากาศ (air space) เหนือทะเลอาณาเขต อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) แห่งทะเลอาณาเขตด้วย โดยมีข้อยกเว้นในการใช้อำนาจอธิปไตย ของรัฐชายฝั่งเหนือทะเลอาณาเขต คือ “การใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริต” (right of innocent passage) ของเรือต่างชาติในทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่ง ซึ่งการผ่านจะสุจริตนั้นจะต้องไม่เป็นการเสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงต่อรัฐชายฝั่ง โดยมีพื้นที่ทะเลอาณาเขตรวม 53,068.22 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 29,344.36 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 23,723.86 ตารางกิโลเมตร
  3. เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี ค.ศ. 1982 กำหนดให้เขตต่อเนื่องมิอาจขยายเกินกว่า 24 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีน้ำเงิน รัฐชายฝั่งอาจดำเนินการควบคุมที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฝ่าฝืนกฎหมาย และข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร (customs) การคลัง (fiscal) การเข้าเมือง (immigration) หรือการสุขาภิบาล (sanitation) ภายในอาณาเขต หรือทะเลอาณาเขตของตน  และลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับดังกล่าวซึ่งได้กระทำภายในอาณาเขต หรือทะเลอาณาเขตของตน รัฐชายฝั่ง มีหน้าที่ในการคุ้มครองวัตถุโบราณ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่พบใต้ทะเลในเขตต่อเนื่อง โดยมีพื้นที่เขตต่อเนื่องรวม 37,513.22 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 23,909.18 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 13,604.04 ตารางกิโลเมตร
  4. เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zones) คือ บริเวณที่ประชิดและอยู่เลยไปจากทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกิจจำเพาะจะต้องไม่ขยายออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ได้แก่ พื้นที่ที่แสดงด้วยสีฟ้าและสีม่วง รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อความมุ่งประสงค์ในการสำรวจ (exploration) และการแสวงประโยชน์ (exploitation) การอนุรักษ์ (conservation) และการจัดการ (management) ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในน้ำเหนือพื้นดินท้องทะเล (water superjacent to the sea-bed) และในพื้นดินท้องทะเล (sea-bed) กับดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของพื้นดินท้องทะเลนั้น และมีสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เพื่อการแสวงประโยชน์ และการสำรวจทางเศรษฐกิจในเขต อาทิเช่น การผลิตพลังงานจากน้ำ (water) กระแสน้ำ (currents) และลม (winds) รัฐชายฝั่งมีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights) ในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้าง และควบคุมการสร้างเกาะเทียม (artificial islands) สิ่งติดตั้ง (installations) และสิ่งก่อสร้าง (structures) เพื่อทำการสำรวจ และแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือควบคุมการใช้สิ่งติดตั้งหรือสิ่งก่อสร้าง อันอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยสิทธิและการปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รัฐชายฝั่งจะต้องคำนึงตามควรถึงสิทธิและหน้าที่ของรัฐอื่นๆ และจะต้องปฏิบัติการในลักษณะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ นี้ รัฐอื่นๆ ย่อมมีเสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) การบินผ่าน (freedom of over flight) การวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล (freedom of the laying of submarine cables and pipelines) มีพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะรวม 170,952.84 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 88,193.97 ตารางกิโลเมตร และ พื้นที่พัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย อีก 7,125.22 ตารางกิโลเมตร และ ฝั่งอันดามัน 75,633.65 ตารางกิโลเมตร
  5. ไหล่ทวีป (Continental Shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (sea bed) และดินผิวใต้ดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเลซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขต ของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (natural prolongation) ของดินแดนทางบกของตนจนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin) หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้าง ของทะเลอาณาเขต ในกรณีที่ริมนอกของขอบทวีปขยายไปไม่ถึงระยะนั้น หรือริมนอกของขอบทวีปสั้นกว่า 200 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นความกว้างของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ก็ให้ถือว่าไหล่ทวีปมีความกว้างถึง 200 ไมล์ทะเลตามความกว้าง ของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) เหนือทรัพยากรธรมรมชาติบนและใต้ไหล่ทวีป ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต โดยมีลักษณะพิเศษ 2 ประการ คือ
    • เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (exclusive rights) กล่าวคือ หากรัฐชายฝั่งไม่สำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือได้ไหล่ทวีปแล้ว รัฐอื่นจะสำรวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรบนหรือใต้ไหล่ทวีปโดยมิได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากรัฐชายฝั่งมิได้
    • สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือไหล่ทวีปนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการครอบครอง (occupation) ไม่ว่าอย่างแท้จริงหรือเพียงในนาม หรือกับการประกาศอย่างชัดแจ้งใดๆ กล่าวคือ สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตไหล่ทวีปนั้นเป็นสิทธิที่รัฐชายฝั่งมีอยู่แต่ดั้งเดิม (inherent right) โดยไม่ต้องทำการประกาศเข้ายึดถือเอาแต่อย่างใด รัฐชายฝั่งได้สิทธิอธิปไตยดังกล่าวมาโดยอัตโนมัติ
  6. ทะเลหลวง (High Seas) หมายถึง ทุกส่วนของทะเลซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone) ในทะเลอาณาเขต (territotial sea) หรือในน่านน้ำภายใน (internal water) ของรัฐ หรือในน่านน้ำหมู่เกาะ (archipelagic waters) ของรัฐหมู่เกาะ เป็นที่น่าสังเกตว่าห้วงน้ำ (water column) และผิวน้ำเหนือไหล่ทวีปที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะยังคงเป็นเขตทะเลหลวง ถึงแม้ไหล่ทวีปและทรัพยากรบนไหล่ทวีปจะตกอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ของรัฐชายฝั่งก็ตาม ทะเลหลวงเปิดให้แก่รัฐทั้งปวง ไม่ว่ารัฐชายฝั่ง (coastal state) หรือรัฐไร้ฝั่งทะเล (landlocked states) เสรีภาพแห่งทะเลหลวงใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อื่นๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิเช่น   เสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (freedom of overflight) เสรีภาพในการทำประมง (freedom of fishing) โดยหน้าที่ประการสำคัญของรัฐต่างๆ ที่ทำการปรมงในทะเลหลวงคือ ต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมาตรการในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรที่มีชีวิตในท้องทะเล

แหล่งอ้างอิง

  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. 2548. หนังสือแปล อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, กรุงเทพฯ
  • http://marinegiscenter.dmcr.go.th

กฏการเดินเรือในน่านน้ำไทยและสากล

⇧ กฏหมายทางทะเล

กองทัพเรือได้จัดทำเอกสาร กฏการเดินเรือในน่านน้ำไทยและกฏการเดินเรือสากล ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 เพื่อใช้การปฏิบัติราชการ มีหมายเลขอ้างอิงของกองทัพเรือว่า อทร.7708 ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทย ได้เข้าร่วมในอนุสัญญาว่าด้วย กฏข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ. 1972 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อ 15 ก.ค. 2520 ต่อมารัฐบาลไทยได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 พร้อมด้วยกฏกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อีก 3 ฉบับ ฉบับแรก ใช้บังคับกับเรือที่อยู่ในน่านน้ำไทยที่เรือเดินทะเลเดินได้ และเรือไทยที่อยู่ในทะเลหลวง ในฉบับที่สอง ใช้บังคับเรือที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง และสุดท้าย ฉบับที่สาม แก้ไขเพิ่มเติม กฏกระทรวงฉบับแรกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยได้มีการเพิ่มรูปภาพประกอบเพื่อความเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังแทรกด้วยประมวลสัญญาณสากล เพื่อเพิ่มความเข้าใจในเรื่องการให้สัญญาณการเดินเรือ ซึ่งในส่วนท้าย ได้นำอนุสัญญาระหว่างประเทศสำหรับป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ. 1972 ฉบับภาษาอังกฤษมาลงไว้เพื่อให้เห็นข้อความต้นฉบับอีกด้วย


เอกสารได้แบ่งออกเป็น 3 ภาค โดยรวบรวมกฏที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • ภาค 1 ว่าด้วยคำนิยาม ทัศนวิสัย การเห็นไฟ ที่ติดตั้งไฟ รายละเอียดทางเทคนิคของไฟ ทุ่นเครื่องหมาย และสัญญาณเสียง
  • ภาค 2 ว่าด้วยโคมไฟ ทุ่นเครื่องหมาย และสัญญาณเสียง
  • ภาค 3 ว่าด้วยการปฏิบัติของเรือในลักษณะต่างๆ และการรับผิดชอบทางแพ่ง ตลอดจนข้อบังคับโดยทั่วไป เมื่อมีเหตุโดนกัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.marinesperson.com

UNCLOS1982

⇧ กฏหมายทางทะเล

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 หรือ UNCLOS1982 นี้มีบทบัญญัติครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายทะเลอย่างกว้างขวาง ทั้งส่วนที่ซ้ำซ้อนกับอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ.1958 และส่วนอื่นๆที่บัญญัติขึ้นใหม่รวมทั้งสิ้น 17 ภาค มีข้อบัญญัติ 320 ข้อ มีสาระสำคัญโดยสังเขปดังนี้

ภาค 1 บทนำ (Introduction)

  • การใช้ถ้อยคำและขอบเขต กำหนดนิยามเฉพาะคำศัพท์
  • บริเวณพื้นที่ (Area)
  • องค์กร (Authority)
  • กิจกรรมในบริเวณพื้นที่ (Activities in the Area)
  • ภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อมทางทะเล (Pollution of the marine environment)
  • การเททิ้ง (Dumping)

ภาค 2 ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (Territorial Sea and Contiguous Zone)

  • รัฐชายฝั่งมีอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตกว้าง 12 ไมล์ทะเล (1 ไมล์ทะเล = 1.852 กิโลเมต) วัดจากเส้นฐานที่กำหนดตามอนุสัญญานี้
  • เรือต่างชาติ (รวมทั้งเรือรบและเรือพาณิชย์) สามารถใช้ ”สิทธิการผ่านโดยสุจริต” ในทะเลอาณาเขต การผ่านโดยสุจริตตราบเท่าที่ไม่เสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของรัฐชายฝั่ง
  • ในเขตต่อเนื่อง ถัดจากทะเลอาณาเขตออกมา 12 ไมล์ทะเล รัฐชายฝั่งสามารถควบคุมและลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายที่กระทำภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขต เกี่ยวกับการศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง และการสุขาภิบาล

ภาค 3 ช่องแคบที่ใช้เพื่อการเดินเรือระหว่างประเทศ (Straits Used for International Navigation)

  • เรือและอากาศยานทุกชาติสามารถใช้สิทธิการเดินทางผ่านช่องแคบที่ใช้เพื่อการเดินเรือระหว่างประเทศ
  • การเดินทางผ่าน หมายถึง เสรีภาพในการเดินเรือและการบินผ่านเพื่อมุ่งประสงค์จะผ่านช่องแคบอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยปราศจากการคุกคามต่อรัฐที่อยู่ติดกับช่องแคบ
  • รัฐที่อยู่ติดกับช่องแคบ อาจออกกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินเรือและอื่นๆ เกี่ยวกับการผ่าน

ภาค 4 รัฐหมู่เกาะ (Archipelagic States)

  • รัฐที่ประกอบด้วยกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่มของเกาะที่เกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และน่านน้ำที่เชื่อมติดต่อระหว่างกันมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ทางทะเลที่ถูกปิดล้อมด้วยเส้นฐานตรงที่ลากเชื่อมต่อระหว่างจุดนอกสุดของเกาะ
  • เรือของรัฐอื่นมีสิทธิการผ่านช่องทางทะเลที่กำหนดโดยรัฐหมู่เกาะ (right of passage through sea lanes)

ภาค 5 เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone)

  • รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (Sovereign right) เหนือเขต 200 ไมล์ จากชายฝั่งเกี่ยวกับทรัพยากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมีเขตอำนาจ เกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการคุ้มครองรักษาสิ่งแวดล้อม
  • รัฐอื่นมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล
  • ให้รัฐชายฝั่งร่วมมือกันในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ที่ย้ายถิ่นอยู่เสมอและสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม
  • รัฐไร้ฝั่งทะเลและรัฐที่เสียเปรียบทางภูมิศาสตร์ มีสิทธิใช้ทรัพยากรส่วนที่เหลือ (surplus) ของรัฐชายฝั่งในภูมิภาคเดียวกัน
  • การกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐที่อยู่ตรงข้ามหรือประชิด ให้ทำความตกลงกันบนมูลฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้บรรลุผลอันเที่ยงธรรม (equitable solution)

ภาค 6 ไหล่ทวีป (Continental Shelf)

  • รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือไหล่ทวีป ในการแสวงผลประโยชน์จากทรัพยากรบนไหล่ทวีป (สิทธินี้ไม่กระทบน่านน้ำและอากาศ)
  • เขตไหล่ทวีปขยายได้อย่างน้อย 200 ไมล์จากชายฝั่ง หรืออาจถึง 350 ไมล์ หรือไม่เกิน 100 ไมล์จากเส้นน้ำลึกเท่า 2,500 เมตร ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและรูปร่างของขอบทวีป
  • รัฐชายฝั่งต้องชำระเงินให้กับองค์กรพื้นท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Sea-Bed Authority) เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่เกิน 200 ไมล์ออกไป
  • คณะกรรมาธิการเขตไหล่ทวีป ทำหน้าที่แนะนำรัฐเกี่ยบกับการกำหนดเขตขอบนอกของไหล่ทวีป

ภาค 7 ทะเลหลวง (High Seas)

  • รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วิจัย และทำการประมงในทะเลหลวง ซึ่งเป็นบริเวณที่อยูนอกเหนือเขตอำนาจของรัฐใด
  • รัฐมีหน้าที่ร่วมมือกันใช้มาตรการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรมีชีวิตในทะเลหลวง

ภาค 8 ระบอบของเกาะ (Regime of Islands)

  • เกาะมี ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และไหล่ทวีปได้ โดยมีวิธีการกำหนดเขตเช่นเดียวกับอาณาเขตที่เป็นแผ่นดิน
  • โขดหินที่ไม่สามารถเป็นที่อาศัยของมนุษย์ และไม่สามารถยังชีพทางเศรษฐกิจได้ (non-economic viability) ย่อมไม่มีทะเลอาณาเขต หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะหรือไหล่ทวีปของตน

ภาค 9 ทะเลปิดหรือกึ่งปิด (Enclosed or Semi-Enclosed Sea)

  • รัฐที่อยู่กับทะเลปิดหรือกึ่งปิด ควรร่วมมือกันในการจัดการทรัพยากรมีชีวิต ประสานนโยบายการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประสานงานด้านการคุ้มครองและการักษาสิ่งแวดล้อม

ภาค 10 สิทธิของรัฐไร้ฝั่งทะเลที่จะออกไปสู่และเข้ามาจากทะเล และเสรีภาพในการผ่าน (Right of Access of Land-Locked State to and from the Sea, and Freedom of Transit)

  • ประชาชนและสินค้าของรัฐไร้ฝั่งทะเลต้องได้รับสิทธิที่จะออกไปสู่หรือเข้ามาจากทะเลผ่านรัฐเพื่อนบ้านที่มีชายฝั่งทะเลโดยความตกลงระหว่างกัน

ภาค 11 บริเวณพื้นที่ (The Area)

  • บริเวณพื้นที่ หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (sea-bed) พื้นมหาสมุทร (ocean floor) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) ที่อยู่พ้นขอบเขตของเขตอำนาจรัฐ
  • กิจกรรมทั้งปวงในบริเวณพื้นที่ต้องถูกควบคุมโดยองค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Sea-Bed Authority) ภายใต้หลักการที่ว่า บริเวณพื้นที่และทรัพยากรในบริเวณพื้นที่เป็นมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ
  • มีระบบในการสำรวจและแสวงประโยชน์แร่ธาตุพื้นท้องทะเลซึ่งดำเนินการโดยองค์กรและโดยรัฐภาคี (หรือรัฐวิสาหกิจ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่ถือสัญชาติรัฐภาคี) ดำเนินการร่วมกับองค์กรภายใต้สัญญาร่วม
  • องค์กรฯ มีหน้าที่ กำหนดกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ และวิธีการทำเหมืองแร่พื้นท้องทะเล
  • องค์กรฯ ประกอบด้วย รัฐวิสาหกิจเพื่อการทำเหมืองแร่ (Enterprise for Mining)สมัชชา (Assembly) คณะมนตรี (Council)และสำนักเลขาธิการ (Secretariat)

ภาค 12 การคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล (Protection and Preservation of the Marine Environment)

  • รัฐทั้งปวงมีพันธกรณีที่จะต้องใช้วิธีการที่พึงปฏิบัติได้ดีที่สุดตามแต่จะเลือก เพื่อป้องกัน ลด และควบคุมภาวะมลพิษทางทะเลจากแหล่งใดๆ
  • รัฐทั้งปวงจะต้องร่วมมือกันในระดับโลกและระดับภูมิภาคในการแจ้งให้รัฐอื่นทราบเกี่ยวกับความเสียหายที่ใกล้จะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นจริง และต้องพัฒนาแผนฉุกเฉิน (contingency plan) เพื่อต่อต้านภาวะมลพิษ
  • รัฐทั้งปวงจะส่งเสริมในด้านความช่วยเหลือทางเทคนิค การติดตามตรวจสอบและการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
  • กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศและกฎหมายของชาติ จะต้องนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกัน ลด และควบคุมภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้มทางทะเล อันเกิดจากแหล่งทางบกและกิจกรรมของมหาสมุทรและพื้นดินท้องทะเล รวมถึงการทิ้งเท (dumping)
  • การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นความรับผิดชอบของรัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐเจ้าของธง ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ แหล่ง และบริเวณที่เกิดการกระทำผิด
  • มาตรการป้องกัน (Safeguards) สามารถใช้ได้ในกรณีที่วิธีการในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายไม่เหมาะสม
  • บริเวณที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง (ice-covered areas) อาจได้รับความคุ้มครองโดยเกณฑ์พิเศษเพื่อต่อต้านภาวะมลพิษจากเรือ
  • รัฐทั้งปวงจะต้องรับผิด สำหรับความเสียหายอันเกิดจาการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศในการต่อสู้ภาวะมลพิษทางทะเล
  • พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาอื่นๆ ว่าด้วยการคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลจะต้องไม่ถูกทำให้เสียโดยอนุสัญญานี้
  • เรือรบได้รับการคุ้มกันอธิปไตย (sovereign immunity) จากข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้โดยรัฐอื่น แต่รัฐที่เป็นเจ้าของจะต้องประกันว่า เรือรบของตนกระทำการในลักษณะที่สอดคล้องกับอนุสัญญาเท่าที่จะพึงปฏิบัติได้

ภาค 13 การวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล (Marine Scientific Research)

  • รัฐทั้งปวงมีสิทธิในการทำวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลเฉพาะเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางสันติ
  • การวิจัยในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและบนไหล่ทวีปต้องได้รับความยินยอมของรัฐชายฝั่ง
  • สิ่งติดตั้งและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต้องไม่รบกวนเส้นทางเดินเรือและต้องติดเครื่องหมาย และสัญญาณเตือนภัย
  • รัฐและองค์การระหว่างประเทศต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย
  • รัฐที่ทำการวิจัยอาจร้อยขอให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ย (concillation commission) ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับโครงการวิจัย

ภาค 14 การพัฒนาและการถ่อยทอดเทคโนโลยี (Development and Transfer of Marine Technology)

  • รัฐทั้งปวงมีหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเลตามข้อกำหนดที่เป็นธรรมและตามสมควร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมทั้งผู้เป็นเจ้าของ ผู้ให้ และผู้รับเทคโนโลยี
  • ส่งเสริมการจัดตั้งและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและภูมิภาค

ภาค 15 การระงับข้อพิพาท (Settlement of Disputes)

  • รัฐภาคีมีพันธกรณีที่จะต้องระงับข้อพิพาทโดยสันติ
  • กรณีไม่อาจระงับระดับทวิภาคี ต้องเสนอข้อพิพาทสู่วิธีการเชิงบังคับ โดยอาจเลือกวิธีพิจารณาข้อใดข้อหนึ่งจาก
    1. ศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (International Tribunal for the Law of the Seas)
    2. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
    3. ศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ตั้งขึ้นตามภาคผนวก 7
    4. ศาลอนุญาโตตุลาการพิเศษ (Special arbitrations)
      • การประมง (fisheries)
      • การป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล (protection and preservation of marine environment)
      • การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางทะเล (marine scientific research)
      • การเดินเรือ รวมถึงมลพิษจากเรือและการเททิ้ง navigation (including pollution from vessels, and dumping)
  • ข้อพิพาทบางประเภทเสนอให้พิจารณาโดยไกล่เกลี่ย อันไม่มีผลผูกพันคู่กรณี
  • รัฐมีข้อยกเว้นไม่ยอมรับการพิจารณาเชิงบังคับเรื่องที่เปราะบาง เช่น การกำหนดเขตแดนทางทะเลและกิจกรรมทาง ทหาร (โดยต้องตั้งข้อสงวนต่อเชขาธิการสหประชาชาติ)

ภาค 16 บทบัญญัติทั่วไป (General Provisions)

  • รัฐทั้งปวงต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่อยู่ในอนุสัญญานี้ด้วยความสุจริตและจะไม่ใช้สิทธิในทางที่ผิด และงดเว้นการ คุกคามโดยใช้กำลังอันขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
  • รัฐไม่มีพันธกรณีต้องเปิดเผยข้อสนเทศที่ขัดผลประโยชน์ด้านความมั่นคง
  • รัฐชายฝั่งมีเขตอำนาจเหนือวัตถุโบราณคดีและทางประวัติศาสตร์ที่พบในทะเลภายในเขตต่อเนื่อง (24 ไมล์ทะเลจากฝั่ง)

ภาค 17 บทบัญญัติสุดท้าย (Final Provisions)

  • บทบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลสามารถแก้ไขเพิ่มเติม และมีผลบังคับใช้ภายหลังจาก 1 ปี นับจากวันที่ 2/3 รัฐภาคีให้สัตยาบัน
  • การแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเล ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีและสมัชชา โดยจะมีการพิจารณาทบทวนทุก 15 ปี
  • อนุสัญญามีผลบังคับใช้ 1 ปี นับจากวันที่รัฐภาคีที่ 60 ให้สัตยาบันสารหรือภาคยานุวัติสาร

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.mkh.in.th

พระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522

⇧ กฏหมายทางทะเล

เนื่องจาก ประเทศไทยได้เคยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วย กฎข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับการป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ. 1948 และได้ตราพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 ขึ้น บังคับใช้เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญานั้น ต่อมาอนุสัญญาดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ. 1972 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2520 เป็นต้นไป ในการนี้สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันเรือโดนกันให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับใหม่ซึ่งประเทศไทยกำลังดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น


ต่อมาได้มีกฏกระทรวง ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 ดังนี้

  • กฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 [กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันเรือโดนกัน เพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับการป้องกันเรือโดนกันในทะเล ค.ศ.1972]
  • กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2524) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 (วางมาตรการป้องกันเรือโดนกันสำหรับเรือไทยและเรือต่างประเทศที่เดินขึ้นล่องอยู่ในแม่น้ำลำคลองให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันเรือโดนกันในน่านน้ำไทยและทะเลหลวง)
  • กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.krisdika.go.th
  • http://law.longdo.com

กฏหมายทางทะเล

กฏหมายให้อำนาจทหารเรือ 30 ฉบับ

การอ่านตัวเลขที่ลงท้ายด้วยหนึ่ง

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

ตามปกติเรือซึ่งปฏิบัติงานอยู่กลางทะเล ย่อมจะมีเสียงคลื่นลมและเครื่องจักรรบกวนการสั่งงานอยู่เสมอ ฉะนั้น การสั่งงานก็ดี การขานตอบพูดจากันก็ดี จึงต้องตะโกน หรือใช้เสียงดังกว่าปกติ สำหรับชาวราชนาวีไทยก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน สำหรับจำนวนตัวเลขที่ใช้ในการติดต่อ เช่น การสั่งศูนย์ปืน มุมหัน มุมกระดก เป็นต้น ที่ลงท้ายด้วยหนึ่งนั้น ตามธรรมดาจะออกเสียง “เอ็ด” ซึ่งคล้ายกับ “เจ็ด” มาก ดังนั้น เพื่อความถูกต้องและชัดเจน เราจึงออกเสียง “หนึ่ง” แทน “เอ็ด” เสมอ เช่น “11“ อ่าน “สิบหนึ่ง” “251“ อ่าน “สองร้อยห้าสิบหนึ่ง” หรือ “สองห้าหนึ่ง” เป็นต้น



แหล่งอ้างอิง

  • https://www.baanjomyut.com

วิธีซ่อนทรัพย์ในเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

หลายศตวรรษมาแล้ว ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ มีประเพณีว่าชาวเรือเวลาสร้างเรือใหม่ขึ้นมา เขาจะฝังเงินเหรียญไว้ใต้เสากระโดงเรือ โดยเอาทาง “หัว” ขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะประสบความลำบากในภายหลัง ทั้งนี้ สาเหตุก็เนื่องจากว่า ในสมัยนั้นเชื่อกันว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วจะต้องนั่งเรือจ้างข้ามแม่น้ำ Styx ไปสู่ดินแดนแห่งความตาย แต่เรื่องจ้างในเมืองผีก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน คนแจวเรือชื่อ Charon ใครข้ามก็ต้องเสียค่าโดยสารให้แก ถ้าใครไม่มีค่าโดยสารก็คงจะอดข้าม ถ้าเป็นพวกชาวบ้านก็ไม่แปลกอะไร พวกพ้องพี่น้องมีมากมายคงจะออกให้แทนด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ชาวเรือเวลาที่มีอันต้องไปตายในทะเลลำบากไม่มีญาติโยมรู้ ถ้าเผื่อไม่เตรียมค่าเรือจ้างเอาไว้แล้ว เกิดมีอันต้องเป็นไปตายในทะเลเข้าละก็ต้องนั่งคอยเรือจ้างเป็นปี ๆ ทีเดียวเขาจึงต้องฝังเงินเหรียญเตรียมเอาไว้ให้


ถึงแม้ว่าเราจะลืมสาเหตุในการที่ทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้วก็ตาม แต่ในปัจจุบันก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ เจ้าของเรือใบเล็ก ๆ เป็นส่วนมากยังต้องซ่อนเงินเหรียญไว้ในเรืออยู่ แต่จะซ่อนเงินเหรียญชนิดใดหรือที่ใด เจ้าของเรือคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงเพื่อโชคลางที่เขาถือกันมาแต่โบราณแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในปัจจุบันยังใช้เป็นหลักฐานให้เจ้าของเรือได้อย่างดี ถ้าหากเรือของเขาหายไปหรือถูกขโมยไป


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

เครื่องแบบทหารเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

ในสมัยก่อน การแต่งเครื่องแบบทหารเรือไม่ได้มีข้อกำหนดแน่นอน ใครจะแต่งอย่างไรก็ได้ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1474 พระเจ้ายอร์ชที่ 2 ได้สั่งให้คิดเครื่องแบบสำหรับทหารเรือขึ้น เพื่อส่งเสริมจิตใจและการปฏิบัติงาน เครื่องแบบทหารเรือแปลกกว่าทหารเหล่าอื่น ๆ และล้วนแต่มีประวัติ บางอย่างก็เป็นประวัติธรรมดา บางอย่างก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น

  • ก. ปกหลังคอกะลาสีเรือ สืบเนื่องมาแต่กะลาสีโบราณนิยมไว้ผมยาวทำให้หลังเสื้อสกปรกด้วยคราบน้ำมัน จึงให้มีปกคอกันเปื้อนสีน้ำเงินแก่
  • ข. ผ้าผูกคอดำ กะลาสีเรือโบราณนิยมใช้ผ้าเช็ดหน้าผูกคอสำหรับเช็ดเหงื่อใคร ต่อมาจึงดัดแปลงเป็นผ้าผูกคอดำผูกเป็นเงื่อนให้เรียบร้อย เมื่อ ลอร์ด เนลสัน แม่ทัพเรืออังกฤษผู้มีชื่อเสียงถึงแก่กรรมเนื่องจากการยุทธ์ทางเรือที่ทราฟัลกา เมื่อ ค.ศ.1805 ชาวเรืออังกฤษได้รับคำสั่งให้ใช้ผ้าผูกคอสีดำเป็นเครื่องหมายแสดงการไว้ทุกข์ ต่อมาไม่ยอมเลิกใช้จึงเป็นประเพณีแบบอย่างของทหารเรือทั่วโลก พลอยใช้ผ้าพันคอ (Scarf) หรือเนคไท (Tie) ดำไปด้วย
  • ค. กางเกงผ่าข้าง กล่าวว่าทหารบางคนไม่รอบคอบ ลืมกลัดดุมกางเกง ทำความอับอายให้แก่ผู้ที่พบเห็นจึงเปลี่ยนมาเป็นกางเกงผ่าข้างเสีย ได้มีกฎหมายระบุว่าเสื้อกางเกงของทหารเรือ จะถูกยึดเพื่อทดแทนสินเชื่อต่าง ๆ ไม่ได้ในปี ค.ศ.1938 เจ้าของที่ดินในซานฟรานซิสโกถูกขึ้นศาล และถูกปรับเนื่องจากฝ่าฝืนกฎหมายนี้


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

ระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับเรือเล็ก

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

ก. สำหรับเรือเล็กมีระเบียบปฏิบัติเท่าที่ควรทราบดังต่อไปนี้
1) ทหารในเรือกระเชียงต้องแสดงกิริยาวาจาให้เรียบร้อย
2) ห้ามเอนอิงยกเท้าขึ้นบนกราบเรือ ห้ามนั่งบนกราบเรือ ห้ามอ่านหนังสือในเรือ
3) ห้ามสูบบุหรี่หรือรับประทานสิ่งหนึ่งสิ่งใด เว้นแต่ระยะทางไกล แต่ก็ต้องได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว
4) สิ่งใดที่อาจนั่งทำได้ ห้ามยืนทำ
5) เมื่อนั่งในเรือกระเชียง ถ้าคลื่นซัดเข้าเรืออย่าลุกหนี หรือหลบหลีกจะทำให้เรือล่ม
6) เมื่อบรรทุกของลงเรือต้องวางอย่าให้เกะกะกีดขวางการทำงาน เว้นที่ไว้สำหรับวิดน้ำไปด้วย
7) เวลานำเรือไปที่บันไดหรือนำไปผูกท้ายเรือหรือผูกบุม ห้ามสาวเรือไป ต้องตีกระเชียงไปเสมอ
8) ห้ามนำเรือผูกที่บันได เพราะเกะกะกีดขวางเรือที่จะมาเทียบ และอาจกระทบกระแทกกับบันไดชำรุดได้
9) นายทหารต้องรับผิดชอบในความประพฤติตลอดจนเครื่องแต่งกายของทหาร และต้องกวดขันการตีกระเชียงให้ถูกต้อง


นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ต้องปฏิบัติตามคู่มือเรือเล็กว่าด้วยเรือกระเชียงทุกประการ

ข. การเคารพในเรือกระเชียง มี 3 แบบ คือ ตั้งกระเชียง (สำหรับเรือกระเชียงช่อง) หยุดกระเชียง และแลขวาหรือแลซ้ายเฉย ๆ จะเคารพบุคคลชั้นใดหรือวัตถุใดด้วยวิธีใดนั้น ศึกษาดูได้จากข้อบังคับทหารว่าด้วยการเคารพ และการเคารพนั้น ให้กระทำในเมื่อแลเห็นชัดเจนด้วยสายตาปกติ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงดวงอาทิตย์ตก

ค. การขานตอบระหว่างเรือเล็กกับเรือใหญ่ ให้ปฏิบัติระหว่างดวงอาทิตย์ตก ถึงดวงอาทิตย์ขึ้น เมื่อเรือเล็กผ่านเรือใหญ่ ยามเรือใหญ่จะตะโกนถามว่า “โบด อฮอย” (Boat Ahoy) ให้เรือเล็กขานตอบดังนี้
ถ้าผู้ที่มาในเรือกระเชียง
– พระบรมวงศานุวงศ์ ตอบว่า “แสตนดาร์ด” (Standard)
– นายพลเรือ ตอบว่า “แฟลก” (Flag)
– ผู้บัญชาการทหารเรือ ตอบว่า “ผู้บัญชาการ”
– แม่ทัพเรือ ตอบว่า “ทัพเรือ”
– รองผู้บัญชาการทหารเรือ ตอบว่า “รองผู้บัญชาการ”
– ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ตอบว่า “กองเรือยุทธการ”

– หมวดเรือ หมวด
– ผู้บังคับ กองเรือ ตอบว่า “กอง เรือ………”
– หมู่เรือ “หมู่
– ผู้บังคับการเรือ ตอบว่า ตอบชื่อเรือลำนั้นเช่น ผบ.เรือแม่กลอง ตอบว่า “แม่กลอง”
– นายทหารสัญญาบัตร ตอบว่า “อาย-อาย” (Aye-Aye)
– ผู้อื่นนอกจากนายทหารสัญญาบัตร ตอบว่า “โน-โน” (No-No)
– ถ้าผ่านไปไม่แวะจะเป็นนายทหารชั้นใดก็ตามอยู่ในลำนั้น ตอบว่า “พาสซิ่ง” (Passing) เท่านั้น
คำว่า “ฮิฟทู” (Heave-to) หมายความว่า “ให้หยุด” ไม่ให้เข้ามาใกล้เรือใหญ่
คำว่า “คัมอะลองไซด์” (Come Along Side) หมายความว่า “ให้เข้ามาได้”

ง. มารยาทอื่น ๆ ในเรือเล็กที่ควรทราบ
1) การทำความเคารพระหว่างเรือเล็กด้วยกัน จะต้องปฏิบัติเมื่อเรือทั้งสองผ่านกันในระยะใกล้พอสมควร เรือที่มีอาวุโสน้อยจะต้องทำความเคารพก่อน และผู้มีอาวุโสสูงต้องรับการเคารพ
2) เรืออาวุโสต่ำจะแล่นผ่านขึ้นหน้าเรือหรือตัดหน้าใกล้เรือที่มีอาวุโสสูงไม่ได้ นอกจากในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
3) การทำความเคารพนายทหารในเครื่องแต่งกายพลเรือน ให้กระทำด้วยการทำวันทยหัตถ์แต่อย่างเดียว
4) ขณะชักธงขึ้นธงลง ต้องทำความเคารพด้วยการหยุดกระเชียง ถ้าเป็นเรือยนต์ต้องปลดคลัตช์
5) ในการเข้าเทียบท่าหรือบันได เรือผู้ที่มีอาวุโสน้อยต้องให้ความสะดวกต่อผุ้มีอาวุโสสูง โดยการเปิดทางให้และไม่พยายามตัดหน้า แซง เบียดหรือทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อการเข้าเทียบของเรือผู้มีอาวุโสสูง
6) เรือเล็กที่มารอรับคนจะต้องคอยอยู่ในบริเวณนั้น โดยไม่กีดขวางการเข้าเทียบจากเรืออื่น ๆ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ซึ่งควบคุมท่า หรือที่จอดเรือนั้นโดยถูกต้องแล้ว
7) ถ้ามีนายทหารหรือข้าราชการมาในเรือยนต์หรือเรือกระเชียง เมื่อมีการยิงสลุตเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มาในเรือยนต์หรือเรือกระเชียงให้นายท้ายหยุดเรือลอยลำ ผู้มารับการสลุตจะยืนขึ้นหันหน้าไปทางเรือยิงสลุต และหลังจากสลุตแล้วจึงทำความเคารพรับการสลุต


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

การขึ้นลงเรือใหญ่

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

การขึ้นลงเรือนั้น มีประเพณีอยู่ว่า เมื่อจะไปจากเรือใหญ่ผู้มีอาวุโสน้อยย่อมต้องลงเรือเล็กก่อนเสมอ และตรงกันข้ามเมื่อจะขึ้นจากเรือเล็กต้องขึ้นทีหลังในกรณีที่มีคลื่นลมหรือคนแน่น เพื่อความสะดวกผู้ที่อาวุโสน้อยจะขออนุญาตขึ้นก่อนได้ แต่ต้องรออยู่ที่บริเวณข้างบันไดบนเรือใหญ่ ให้ผู้ใหญ่ขึ้นจากเรือเล็กและออกเดินไปเสียก่อน ตนจึงจะไปได้ ประเพณีนี้เกี่ยวกับมารยาทนอกจากนั้น ยังสะดวกแก่การรับรองอีกด้วย เพราะเรือรบย่อมมีการรับและส่งนายทหารชั้นสัญญาบัตรผู้ที่มาขึ้นเรือ มีผู้ให้ความเห็นว่าการปฏิบัติเช่นนี้น่าจะเป็นด้วยเหตุที่ว่า การให้ผู้น้อยลงก่อน เพื่อจัดหาที่นั่งได้ตามสมควรแก่อาวุโสและเหลือที่ไว้ให้ผู้ใหญ่ เมื่อผู้ใหญ่ลงเรือแล้วจะออกเดินทางได้ทันที่ ไม่ต้องคอย ถ้าอากาศไม่ดี คลื่นลมก็เปียกผู้ใหญ่แต่น้อย


สำหรับพลทหารและจ่าที่มีอาวุโสต่ำนั้น ในการขึ้นลงเรือกระเชียง โดยเฉพาะผู้มีอาวุโสต่ำจะต้องลงเรือก่อนและเข้าประจำกระเชียงทันที


แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑