Category: Uncategorized

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

ขนบธรรมเนียมประเพณีของทหารเรือ หมายถึง ประเพณี และพิธีต่าง ๆ ที่ได้ปฏิบัติติดต่อกันมาแต่ครั้งโบราณเป็นลำดับ ฉะนั้น ก่อนที่จะเข้าใจถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของทหารเรือโดยแท้จริง จะต้องเข้าใจประวัติความเป็นมาของเรื่องแต่ละสาขาโดยสังเขป ประเพณีและพิธีการต่าง ๆ เมื่อรวมกันได้ก่อให้เกิดเป็น ขนบธรรมเนียมประเพณีของทหารเรือนั้น ซึ่งจะมีอยู่มากหลากหลาย สืบกันมาแต่ครั้งโบราณพร้อมด้วยเหตุผลต่างกันออกไป ไม่ในทางมารยาทก็ในทางความรู้สึก หรือไม่ก็ทางก่อให้เกิดประโยชน์ หรือหลายประการรวมกัน ในปัจจุบันนับว่าแพร่หลายไปทั่วโลก ในประเทศที่มี กองทัพเรือ บางอย่างก็มีปรากฏไว้เป็นลายลักษณ์อักษร บางอย่างก็ไม่ได้เขียนไว้ ประเพณีต่าง ๆ ไม่มีผลในทางบังคับเหมือนกฎหมายก็จริง แต่ก็เป็นที่ทราบและนิยมปฏิบัติกันมาก ทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีประเพณีของตนเองไม่เหมือนกัน บางชาติอาจจะรับมาจากอีกชาติหนึ่ง และดัดแปลง บางสิ่งบางอย่างให้เหมาะสม แต่โดยเฉพาะประเพณีอันเกี่ยวกับทหารเรือแล้ว ส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน ถึงแม้จะมีประเพณีอีกเป็นอันมากที่ยังไม่ได้รับรองเป็นทางการก็ตาม แต่ทหารเรือของประเทศทั้งหลายก็ไม่ยอมให้ประเพณีเหล่านั้นเปลี่ยนไป หรือ ทอดทิ้งละเลยให้สูญไปเสีย และเป็นหน้าที่ของผุ้ที่มามีชีวิตเป็นทหารเรือชั้นหลังทุกคน จะต้องพยายามศึกษาให้รู้และปฏิบัติตาม ราชนาวีไทยของเราได้ถือเอาแบบอย่างราชนาวีอังกฤษเป็นหลัก ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ จึงคล้ายคลึงกัน ซึ่งขนบธรรมเนียมของอังกฤษส่วนใหญ่ ได้นิยมปฏิบัติกันแพร่หลายในหมู่ชาวเรือทั่วโลกในขณะนี้

ระบบแจ้งเตือนภัยคลื่นสึนามิ

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

ระบบแจ้งเตือนภัยคลื่นสึนามิระบบแรกของโลก ถูกจัดตั้งขึ้นหลังจากอุบัติภัยที่หมู่เกาะฮาวาย ในปี พ.ศ.2489 สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้ง “ศูนย์แจ้งเตือนคลื่นสึนามิแปซิฟิก” (Pacific Tsunami Warning Center) หรือ PTWC โดยมีติดตั้งสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวจำนวน 50 แห่ง รอบมหาสมุทรแปซิฟิก ระบบทำงานโดยการตรวจจับคลื่นแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว (Seismic wave) ซึ่ง เดินทางรวดเร็วกว่าคลื่นสึนามิ 15 เท่า ข้อมูลที่ตรวจวัดได้จากทุกสถานีถูกนำรวมกันเพื่อพยากรณ์หาตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นสึนามิ เมื่อคลื่นสึนามิถูกตรวจพบ ระบบจะแจ้งเตือนเมืองที่อยู่ชายฝั่ง รวมทั้งประมาณเวลาสถานการณ์ที่คลื่นจะเข้าถึงชายฝั่ง เพื่อที่จะอพยพประชาชนไปอยู่ที่สูง และให้เรือที่จอดอยู่ชายฝั่งเดินทางสู่ท้องทะเลลึก ที่ซึ่งคลื่นสึนาส่งไม่ส่งผลกระทบ อย่างไรก็ตามระบบเตือนภัยนี้ สามารถทำการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น การอพยพผู้คนมักทำได้ไม่ทันท่วงที เนื่องจากคลื่นสึนามิเดินทางเร็วมาก จึงได้มีการพัฒนาระบบที่ดีกว่าขึ้นมา

ระบบเตือนภัย DART คำว่า DART ย่อมาจาก Deep ocean Assessment and Reporting of Tsunamis เป็นระบบเตือนภัยยุคใหม่ ซึ่งพัฒนาโดย องค์การบริหารบรรยากาศและมหาสมุทร (NOAA) ประเทศ สหรัฐอเมริกา โดยการติดตั้งเซนเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือนไว้ที่ท้องมหาสมุทร เซนเซอร์เก็บข้อมูลแผ่นดินไหวและส่งสัญญาน ไปยังทุ่นลอยซึ่งอยู่บนผิวน้ำ เพื่อรีเลย์สัญญาณไปยังดาวเทียม GOES และ ส่งกลับลงบนสถานีภาคพื้นอีกทีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์นำข้อมูลที่ได้มาสร้างแบบจำลองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อพยากรณ์แนวโน้มการเกิดคลื่นสึนามิ หากผลการจำลองและวิเคราะห์ว่ามีโอกาสความเป็นไปได้จะเกิดคลื่นยักษ์ ก็จะแจ้งเตือนไปยังศูนย์ชายฝั่ง เพื่อให้ประชาชนและชาวประมงในพื้นที่ รีบอพยพจากบริเวณที่อันตราย


DART หลักๆ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้ เครื่องบันทึกความดันน้ำ (Bottom Pressure Recorder: BPR) ทุ่นลอย (Buoy) และ ดาวเทียมอิริเดียม (Iridium Satellite)

  • เครื่องวัดความดันน้ำ (BRP) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตรวจวัดความดัน เพื่อรายงานผลถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำในบริเวณพื้นสมุทร และนำค่าที่ได้พื่อมาคำนวณหาระดับความสูงของน้ำด้านบนมหาสมุทร เครื่องวัดความดันน้ำสามารถรายงานผลคลื่นที่มีแอมพิจูดเพียง 1 เซนติเมตรได้
  • ทุ่นลอย (Buoy) เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตจากวัสดุที่มีความทนทาน ทนการกัดกร่อนจากน้ำทะเล แข็งแรง ทนแดดและไม่เป็นสนิมจากน้ำทะเล เป็นอุปกรณ์ที่ลอยน้ำเพื่อเป็นที่เกาะและเป็นที่ค้ำจุน โดยปกติทุ่นลอยจะมีสายยึดไว้กับพื้นสมุทร เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่และป้องกันการเปลี่ยนตำแหน่งของทุ่น ทุ่นลอยมีหลายชนิด แต่สำหรับการตรวจวัดคลื่นสึนามิ จะใช้ทุ่นลอยประเภททุ่นตรวจวัดคลื่นสึนามิ (Tsunami buoy)
  • ดาวเทียมอิริเดียม (Iridium Satellite) เป็นดาวเทียมที่มีวงโคจรสูงจากพื้นผิวโลกไม่เกิน 2,000 กิโลเมตร ถือว่าเป็นดาวเทียม ที่มีวงครจรต่ำ โดยส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ในงานด้านการสื่อสาร เป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นตัวเชื่อมในการส่งผ่านข้อมูล และรายงานผลจากอุปกรณ์ตรวจวัดที่ติดตั้งบริเวณทุ่นลอยสู่ห้องควบคุมหลัก และสั่งการจากห้องควบคุมสู่อุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้กลางสมุทร ถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งผ่านข้อมูลสองทางและเพิ่มประสิทธิภากการรายงานผลแบบ real time เพิ่มมากขึ้น

หลักการทำงาน DART เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องตรวจวัดความดันน้ำ และทุ่นลอยที่บริเวณผิวน้ำ โดยอุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้ต้องมีการสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา เครื่องตรวจวัดความดันน้ำ จะคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำ และส่งข้อมูลไปยังทุ่นลอยในรูปแบบสัญญาณเสียง หลังจากนั้นทุ่นลอยจะส่งข้อมูลไปยังดาวเทียม และดาวเทียมจะทำการส่งข้อมูลต่อไปยังสถานีรับข้อมูล ที่อยู่ภาคพื้นดินในรูปแบบสัญญาณดาวเทียม ข้อมูลที่ได้รับมาจะถูกนำมาประมวลผ่านโมเดล และแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุสึนามิขึ้น เมื่อทราบการรายงานผลการตรวจวัดสึนามิแล้ว ทางห้องควบคุม จะทำการส่งข้อมูลแจ้งเตือนออกไปสู่ประชาชน โดยผ่านระบบโทรคมนาคมรอบโลก (Global Telecommunications System: GTS) ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศ และข้อมูลด้านการแจ้งเตือนภัยจากสึนามิ และเครือข่ายโอเพ่นแคร์ (Open Exchange for Collaborative Activities in Response to Emergency: OpenCARE) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน ทั้งการแจ้งเตือนภัย ป้องกันภัย และการบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดขึ้น


แหล่งอ้างอิง

  • http://dpm.nida.ac.th
  • https://mrvop.wordpress.com

ประวัติธงราชนาวี

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

ประเทศไทย มีธงราชนาวีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ธงราชนาวีผืนแรกที่มีขึ้นในประเทศไทยนั้น เป็นธงสีแดงซึ่งใช้เป็นเครื่องหมายของธงราชนาวีตลอดมา จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยใน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระราชดำริว่า บรรดาเรือหลวงกับเรือราษฎร์ ควรมีเครื่องหมายสำคัญให้เห็นแตกต่างกัน เพื่อจะได้สังเกตว่าลำไหนเป็นเรือหลวง ลำไหนเป็นเรือราษฎร์ ดังนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สั่งให้เรือหลวงทั้งปวงทำรูปจักรสีขาวไว้ตรงกลางพื้นสีแดง และในส่วนเรือราษฎร์นั้นยังคงใช้ธงพื้นสีแดง

ธงราชนาวี ผืนแรก
ธงราชนาวีประจำเรือหลวง สมัย ร.1

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2360 ทรงได้ช้างเผือกมาสู่ราชอาณาจักรถึง 3 เชือก นับว่าเป็นพระเกียรติยศอย่างยิ่งสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำรูปช้างสีขาวไม่ทรงเครื่องอยู่ในวงจักรสีขาวติดไว้กลางธงสีแดง อันหมายความว่า “พระเจ้าแผ่นดินอันมีช้างเผือก” ซึ่งธงนี้ใช้ได้เฉพาะเรือหลวงเท่านั้น


ต่อมาใน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้เรือค้าขายของเอกชน ใช้ธงเหมือนอย่างเรือหลวง โดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอารูปจักรออก เนื่องจากรูปจักรเป็นของสูง และเป็นเครื่องหมายสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน โดยให้เหลือแต่รูปช้างสีขาวอยู่บนพื้นธงสีแดง และสามารถใช้ได้ทั้งเรือหลวงและเรือราษฎร์

ธงราชนาวี ในสมัย สมัย ร.2
ธงชนิดนี้ใช้ทั้ง เรือหลวงและเรือราษฎร์

พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ.110 ( พ.ศ. 2434 ) ขึ้นเป็นพระราชบัญญัติธงฉบับแรก โดยได้ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะธงจากเดิมไปบ้าง และเรียกชื่อธงราชนาวีใหม่ว่า “ธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น” ลักษณะของธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงตรงกลางธง มีรูปช้างเผือกทรงเครื่อง ยืนแท่นหันหน้าเข้าหาเสาและตรงมุมธงเบื้องบน ด้านซ้ายมีจักรสีขาว 1 จักร ซึ่งธงนี้สำหรับใช้ชักที่ท้ายเรือพระที่นั่งและเรือรบหลวงเท่านั้น ในพ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขพระราชบัญญัติธงฉบับแรกใหม่ และเรียกพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า “พระราชบัญญัติธงรัตนโกสินทร์ ศก 116” พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อธงจากชื่อ “ธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น” เป็น “ธงเรือหลวง” โดยลักษณะของธงยังเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีจักรสีขาวที่มุมธงธงราชนาวี

ธงราชนาวี พ.ศ. 2434
ธงราชนาวี พ.ศ. 2440

พ.ศ. 2453 มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ธงเรือหลวง” เป็น “ธงทหารเรือ” รวมทั้งเปลี่ยนลักษณะรูปร่างจากพื้นแดงตรงกลางมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยื่นแท่น เพิ่มเครื่องหมายสมอไขว้กับจักรภายใต้มหาพิชัยมงกุฎสีเหลือง ที่มุมธงข้างหน้าช้างสำหรับใช้ชักที่ท้ายเรือ และสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องแสดงว่าเรือและสถานที่นั้นๆ ขึ้นอยู่กับกระทรวงทหารเรือ และใน พ.ศ. 2460 มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ธงทหารเรือ” เป็น ” ธงราชนาวี” โดยมีลักษณะเหมือนธงไตรรงค์ แต่ตรงกลางมีวงกลมสีแดง และภายในวงกลมมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น หันหน้าเข้าหาเสา นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 เป็นต้นมา ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติธงอีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ธงราชนาวีก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด ยังคงใช้อย่างเดิมนั่นเองจวบจนทุกวันนี้

ธงราชนาวี พ.ศ. 2453
ธงราชนาวีในปัจจุบัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.wangdermpalace.org

ศัพท์แสลงของชาวเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

  • ยาหมอสี แปลว่า ถั่วเขียวต้มน้ำตาล สมัยก่อนคงมีหมอประจำเรือที่ชื่อว่า “สี” และเมื่อนักเรียนป่วย ท่านจะจ่ายยาเขียวเป็นประจำ ซึ่งสมัยก่อนแทบจะเรียกว่าเป็นยาครอบจักรวาลแก้ได้สารพัดโรคตัวยา เป็นผงสีเขียวเวลาจะกินต้องละลายน้ำให้ข้นๆแล้วซดโฮกเข้าไปรสจะออกขมและเฝื่อนหน่อยๆ ซึ่งเด็กสมัยนี้ค่อนข้างโชคดีที่ไม่ต้องซดยาเขียวนี้ และเนื่องจากมันสีเดียวกับ ถั่ว เขียวต้มน้ำ ตาล จึงเรียกกันแบบประชด ๆ ว่า ยาหมอสี
  • นกกระจาบ แปลว่า กระเทียมดอง กลีบกระเทียมดองมีลักษณะคล้ายๆ หัวนกกระจาบ กระเทียมหรือกระเทียมดอง เลยบัญญัติศัพท์ให้เจ้ากระเทียมดอง เป็นนกกระจาบไป
  • หมูทะเล แปลว่า ฟักเขียว อันนี้พอเข้าใจได้ เพราะเมื่อไม่มีหมูกินกันในเมนูอาหาร และเจอแกง ฟักเข้าบ่อยๆ ก็จะมีคนประชดให้ว่า นี่แหละหมูละ แต่เป็น หมูทะเลนะ ไม่ใช่หมูบก
  • ไก่งวง แปลว่าหัวไช้โป๊ ซึ่งก็คงแบบเดียวกับหมูทะเลนั่นแหละครับ โดนหัวไช้โป๊บ่อย ๆ เข้า ไม่ว่าจะผัดหรือต้ม ก็เลยประชดให้ว่า นี่ไม่ใช่ไช้โป๊นะ นี่มันไก่งวงต่างหาก

  • เถาวัลย์เปรียง แปล ว่ามันฉาบ ซึ่งก็เข้าล็อกอย่างว่า คือมันเทศเป็นเสบียงที่อยู่ได้นาน จึงต้องจ่ายเอาไว้ประจำเรือ สามารถใช้ปรุงอาหารได้ทั้งคาว และหวาน ใส่แกงกะหรี่ก็ได้ เอาไปต้มน้ำตาลเป็นของหวานก็ได้ และวันดีคืนดีก็แล่เป็นแผ่นๆ ฉาบน้ำตาลให้กิน แต่คงจะบ่อยไปหน่อย ก็เลยมีคนตั้งชื่อให้ ว่า เถาวัลย์เปรียง
  • ขนมปังน้ำตาลทราย แปลว่า ขัดหินทราย อันนี้ไม่ใช่อาหารนะครับ แต่เป็น การทำงานคือเรือสมัยก่อน ส่วนใหญ่ดาดฟ้าเรือจะทำด้วยไม้ และเมื่อคนเดินไปเดินมาบนดาดฟ้า มันก็จะสกปรกออกสีกระดำกระด่างนานๆ ก็ต้องทำความสะอาดกันเสียทีวิธีทำความสะอาด ก็คือเอาหินทรายที่มีลักษณะเป็นก้อนๆ มาเลื่อยผ่าครึ่งให้มีหน้าเรียบ ดูคล้ายๆ ขนมปังผ่าครึ่ง จากนั้นก็เอาน้ำราดดาดฟ้า เอาทรายโรย แล้วก็เอาหินทรายนั้นขัดดาดฟ้าจนกว่าจะขาวสะอาด เวลาถูกเรียกให้ไปขัดดาดฟ้าจึงเรียกประชดๆ ว่าไปกินขนมปังน้ำตาลทราย

แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/thaimilitarytalk

การทาสีหมอกเรือรบ

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

สมัยก่อน เรือรบ เรือช่วยรบ ตลอดจนเรือพระที่นั่งที่ใช้ในราชนาวีตัวเรือจะทาสีขาว ปล่องและเสากระโดงทาสีเหลือง ส่วนตัวเรือใต้แนวน้ำจะทาสีแดง มาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2450 สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ นายพลเรือตรี กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ พานักเรียนนายเรือไปฝึกภาคทางทะเล กับเรือมกุฎราชกุมาร เรือมกุฎราชกุมารได้ออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ร.ศ.126 (พ.ศ.2450) โดยมีแผนกำหนดแวะจอดเรือตามเมืองท่าชายทะเล นับตั้งแต่ ชุมพร สิงคโปร์ และปัตตาเวีย การฝึกภาคทางทะเลในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ใช้ทหารเรือไทยล้วน ไม่มีชาวต่างชาติ คนประจำเรือจะใช้นักเรียนนายเรือเกือบทั้งสิ้น คงมีคนประจำเรือเดิมที่ร่วมเดินทางไปด้วยเพียง 4 นาย ที่รู้เรื่องของใช้ในเรือต่าง ๆ นายพลเรือตรี กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือด้วยพระองค์เองมีนักเรียนนายเรือบุญมี พันธุมนาวิน ขณะเป็นนักเรียนนายเรือชั้น 5 คนเดียวเป็นนายทหารเดินเรือ ส่วนนักเรียนนายเรือชั้น 4 เป็นนายยามเดินเรือ นักเรียนนอกนั้นเป็นนายท้าย และเป็นยามประจำหน้าที่ต่าง ๆ ส่วนนักเรียนนายเรือฝ่ายช่างก็ทำหน้าที่เป็นนายยาม และยามแผนกช่างกล โดยมีเรือเอก บำ สุสาขา เป็นต้นกล และมีเรือเอก ฮั่ง โซติกเสถียร เป็นรองต้นกล เมื่อเรือออกเดินทางจากชุมพร แล้วก็เดินทางต่อไไปจนกระทั่งเรือได้แวะจอดเรือที่สิงคโปร์ ทางสิงคโปร์ได้มีการยิงสลุต และเยี่ยมคำนับตามระเบียบ


ในเวลานั้น เรือมกุฎราชกุมาร ทาสีขาว ซึ่งดูผิดแปลกไปจากเรืออื่น ๆ ทั่วไปในอ่าว ซึ่งล้วนแต่ทาสีหมอกและสีดำเกือบทั้งหมด ดังนั้น นายพลเรือตรี กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงทรงให้ทาสีเรือมกุฎราชกุมารเสียใหม่ เป็นสีหมอกตลอดทั้งลำ ซึ่งนับเป็นเรือรบลำแรกที่ทาสีหมอก การออกไปฝึกภาคทะเลในครั้งนั้น นับเป็นการอวดธงครั้งแรก ทำให้นักเรียนได้เห็นเมืองต่างประเทศ พบคลื่นแผ่นดินไหว ทำพิธีข้ามอีเควเตอร์ เห็นเขื่อนกันคลื่น ได้ชมเรือรบต่างประเทศ รับประทานเนื้อม้าเค็ม ขนมปังทะเล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของนักเรียนนายเรือทั้งสิ้น และเป็นการแสดงความสามารถของทหารเรือไทย ในการนำเรือไปในทะเลได้อย่างแท้จริง ครั้นเมื่อเรือเดินทางกลับถึงกรุงเทพ ฯ ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2450 แล้ว ต่อมาเรือทุกลำในราชนาวีก็ได้ทาสีหมอกแทนสีขาว ยกเว้นเรือพระที่นั่งมหาจักรีเพียงลำเดียวเท่านั้นที่ยังคงทาสีขาว


แหล่งอ้างอิง

  • https://www.baanjomyut.com

นายธง (Flag lieutenant)

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

ทหารเรือส่วนมากเข้าใจว่า นายทหารซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายธงนั้น ก็เพื่อทำหน้าที่คอยรับใช้งานต่าง ๆ ของนายทหารชั้นนายพลเรือนั่นเอง ตามประวัติความเป็นมาที่จริงแล้ว มีดังนี้ คือ เมื่อครั้งที่สมัยเรือรบยังไม่มีวิทยุสัญญาณโคมไฟและธงสองมือ การสื่อสารส่วนใหญ่ใช้วิธีชักธงสัญญาณ (เหมือนกับธงประมวลในปัจจุบัน) เป็นคำ ๆ ไป และมีนายทหารสัญญาณ (Flag Signal Officer) เป็นผู้คอยรับผิดชอบ ซึ่งต้องทำงานที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บังคับการเรือตลอดเวลา นอกจากมีหน้าที่ชักธงสัญญาณแล้ว ยังต้องทำหน้าที่การสื่อสารซึ่งอยู่ใกล้ชิดติดต่อกับผู้บังคับการเรืออยู่เสมอ สำหรับราชนาวีไทย ก่อนที่จะมีตำแหน่งนายธงเกิดขึ้น คงมีตำแหน่งราชองครักษ์ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการประจำตัวผู้บัญชาการทหารเรือ ต่อมาในภายหลังได้เปลี่ยนตำแหน่งราชองครักษ์มาเป็นตำแหน่ง เลขานุการ มีหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งรับใช้ผู้บัญชาการทหารเรือ และปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในเวลาราชการแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหนังสือก็ให้เป็นหน้าที่ของกรมปลัดทัพเรือ ครั้นถึงในสมัย นายพลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในสมัยนั้น มีพระดำริว่า ในกรมบัญชาการกระทรวงทหารเรือควรมีตำแหน่งนายเวรวิเศษเหมือนกระทรวงอื่น ๆ และนายทหารซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ตั้งแต่ผู้บัญชาการกรมขึ้นไปบางตำแหน่ง ควรมีนายทหารสัญญาบัตร เป็นนายธงประจำตัว เพื่อสะดวกในการปฏิบัติราชการ ดังนั้น จึงทรงตราข้อบังคับทหารเรือว่าด้วย หน้าที่นายเวรวิเศษและนายธงขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม ร.ศ.131 (พ.ศ.2455) กำหนดคุณสมบัติและหน้าที่ไว้ดังนี้

  • ต้องเป็นนายทหารเหล่าเดินเรือ หรือเหล่าพลรบฝ่ายบก ต้องเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร แต่มียศไม่สูงกว่านาวาตรีขึ้นไป
  • ผู้ที่เป็นราชองครักษ์จะมีตำแหน่งเป็นนายธงด้วยไม่ได้
  • ผู้บังคับบัญชาทหารเป็นนายพลเท่านั้นจึงจะมีนายธงประจำตัวได้
  • ผู้บังคับบัญชาทหารตำแหน่งใดจะมีนายธงประจำตัวแล้วแต่กระทรวงทหารเรือจะได้มีคำสั่งอีกชั้นหนึ่ง
  • นายธงมีหน้าที่ดังนี้
    • ต้อนรับผู้ซึ่งมีความประสงค์จะยื่นเรื่องราว หรือพบสนทนาข้อราชการกับนายพลผู้ซึ่งตนประจำ
    • ไปในการเยี่ยมคำนับ หรือในการอื่น ๆ แทนตัวนายพลในเมื่อนายพลมีคำสั่ง
    • ดำเนินการตามคำสั่งของนายพลไปสั่งราชการแก่เจ้าหน้าที่หรือไปสนทนาข้อราชการแก่เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่นายพลจะได้สั่ง
    • ทำการงานอื่น ๆ แล้วแต่นายพลซึ่งตนเองประจำอยู่จะสั่ง

เมื่อได้ตราข้อบังคับขึ้นใช้แล้ว จึงได้ตราข้อบังคับว่าด้วย สายโยงเครื่องหมายนายเวรวิเศษและนายธงขึ้น ให้นายเวรวิเศษและนายธงมีสายโยง 1 เส้น ทำด้วยไหมทองสลับไหมดำขนาดย่อมโยง ปลายสายทั้งสองจากบ่ายศข้างขวา นายเวรวิเศษให้โยงจากบ่ามาอกรวบท้องโค้งแห่งสายนั้น แขวนไว้ที่ดุมเสื้อที่ 1 ข้างบน ส่วนนายธงให้คล้องใต้แขนห้อยไว้ ถ้าสวมเสื้อไม่มีบ่ายศให้มีแผ่นผ้าสีดำรูปตามแบบ ของกระทรวงทหารเรือติดที่บ่าเสื้อข้างขวาแทนบ่ายศ และบนแผ่นผ้านั้นให้มีเครื่องหมายสังกัดและเครื่องหมายประเภทราชการไว้ด้วย นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ใช้สายโยงตำแหน่งกับเครื่องแบบชนิดต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียดอีกด้วย ต่อมานายพลเรือเอก กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงพิจารณาเห็นว่าข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาชั้นผู้บัญชาการกรมขึ้นไปที่มียศนายพลเท่านั้น จึงจะมีนายธงประจำตัวได้ ผู้บังคับบัญชาบางคนที่ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ ยังไม่ได้เป็นนายพลไม่สามารถที่จะมีนายธงได้ จึงทรงตราข้อบังคับทหารเรือเพิ่มเติมเสียใหม่ ให้มีตำแหน่งนายทหารคนสนิทขึ้นอีก สำหรับประจำตัวผู้บัญชาการกรม ซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นนายพล มีหน้าที่เหมือนนายธงทุกประการ และให้เป็นนายทหารพรรคนาวินหรือพรรคนาวิกโยธิน มียศไม่สูงกว่าเรือเอก และกำหนดให้ใช้สายโยงหมายตำแหน่ง นายทหารคนสนิทสายไหมทองล้วน 1 เส้น มีขนาดเทากับสายเกลี้ยงแห่งสายหมายตำแหน่งราชองครักษ์ ให้โยงจากปลายสายทั้งสองจากบ่ายศข้างขวาไปสอดคล้องใต้แขนห้อยไว้ ตำแหน่งนายทหารคนสนิท จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2465 เป็นต้นมา หลังจากมีตำแหน่งนายธงแล้วประมาณ 10 ปี ในปัจจุบันกองทัพเรือคงมีตำแหน่งนายธง เพียงตำแหน่งเดียวที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้กับนายทหารชั้นยศ นายพลเรือตรีขึ้นไป ที่มีอัตรากำหนดให้มีนายธงได้ นายธงจะมีชั้นยศตั้งแต่ ร.ต. – น.อ. เป็นนายทหารพรรคนาวิน พรรคนาวิกโยธิน สำหรับนายธงที่ปฏิบัติหน้าที่ภายนอกกองทัพเรือ อาจจะเป็นนายทหารมาจาก พรรคใดก็ได้ แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาในชั้นยศนั้น ๆ จะคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมทำหน้าที่นายธง


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navedu.navy.mi.th

ยุทธการกรุงชิง

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

ที่มาของการจัดทหารนาวิกโยธินปราบปรามการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ในเขตจังหวัดภาคใต้ สืบเนื่องจากค่ายกรุงชิงซึ่งเป็นค่าย ผกค. อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ ของกองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 4 ได้ส่งกำลังเข้าปราบปราม ผกค. ณ ที่แห่งนี้หลายครั้งแต่ ผกค. ในพื้นที่ส่วนนี้ก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวไม่หมดสิ้น ต่อมาเนื่องจากการขาดแคลนกำลังพล ของกองทัพภาคที่ 4 กองทัพบกจึงได้ขอกำลังทหารนาวิกโยธิน จำนวน 1 กองพันทหารราบ เพิ่มเติมเพื่อมากำลังสนับสนุนในการปราบปราม ผกค. กลุ่มนี้ และในที่สุดกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ได้อนุมัติ ตามข้อเสนอของกองทัพบก และได้เข้าปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. 2520 โดยประกอบกำลังเป็นหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 201 (ฉก.นย.201) โดยจัดกำลังจาก พัน.ร.8 ผส.นย. สมทบด้วย ตชด. 1 หมวด จำนวน 25 นาย และ ทบ. 1 หมวด ซึ่งมี น.ท.ศุภนิตย์ จูฑะพุทธิ ผบ.พัน.ร.8 ผส.นย. เป็น ผบ.ฉก. ขึ้นควบคุมทางยุทธการกับ ทภ.4 ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. 2520 ถึงวันที่ 20 ต.ค. 2520 โดยมีการปฏิบัติที่สำคัญได้แก่ การนำกำลังเข้าปราบปราม ผกค. ที่ค่ายกรุงชิง ต.นพพิตำ อ.ท่าศาลา จว.นครศรีธรรมราช ได้ยึดและทำลายค่ายกรุงชิงสำเร็จ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2520 ต่อมาปี 2520 กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า “ทหารนาวิกโยธิน” มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติการด้านการรบบนบกได้ดีเช่นเดียวกับทหารบก จึงได้ร้องขอไปยังกองทัพเรือให้พิจารณาจัดทหารนาวิกโยธิน ไปช่วยปฏิบัติราชการในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 4 ดังนั้นกองทัพเรือจึงได้มอบหมายให้กองพันทหารราบที่ 8 กรมผสมนาวิกโยธินออกไปปฏิบัติราชการ ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ตามแผนยุทธการที่ 1 ของศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพบก ในท้องที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ 23 กุมภาพันธ์ 2520 ถึง 16 ตุลาคม 2520 ในนาม “หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 201” หรือ “หน่วยเฉพาะกิจทักษิณ” “กรุงชิง” เป็นชื่อเรียกขานของชาวบ้านมาช้านาน อยู่ในเขตบ้านนพพิตำ ต.โรงเหล็ก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ลักษณะพื้นที่ภูมิประเทศเป็นก้นกะทะป่ารกทึบมีเขาหลวง, เขาปรายกะทูน, เขาเคี่ยม, เขากลม และเขาหลวงล้อมรอบ มีคลองกรุงชิงไหลผ่านออกสู่คลองกลาย และออกสู่ทะเลจากสถานการณ์ปี พ.ศ.๒๕๑๔ – ๒๕๑๙ ผกค. .. โดยต่อมาในเขต อ.ฉวาง กิ่ง อ.พิปูน และ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้พากันเริ่มออกเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชน โฆษณาชวนเชื่อ ตลอดจนรวบรวมสมัครพรรคพวกไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลสูงขึ้น สามารถรวบรวมอาวุธ ซึ่งได้จากการโจมตีเจ้าหน้าที่รวมทั้งยึดเครื่องมือสื่อสารได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์รวมตัวจัดตั้ง เป็น “กองทัพ ปลดแอกประชาชน แห่งประเทศไทย” ในเขตนครศรีธรรมราชเพิ่มความรุนแรงในการปฏิบัติการต่อต้านโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลมากขึ้น และยังสามารถขยายเขตงานออกเป็น 4 เขต ดังนี้

  • เขตงาน 31 ตั้งอยู่บริเวณ อ่าวกรุงชิง บ้านนพพิตำ ต.โรงเหล็ก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช มีนายจิตร จงจิตร เป็นหัวหน้า
  • เขตงาน 32 ตั้งอยู่บริเวณเหนือคลองใหญ่ กิ่ง อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช
  • เขตงาน 33 ตั้งอยู่บริเวณ ต.เขาแก้ว อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช
  • เขตงาน 34 ตั้งอยู่บริเวณ อ่าวศรีเมือง ต.สามตำบล อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช

ฉก.นย.201 ได้เคลื่อนย้ายด้วยขบวนรถยนต์ เข้าพื้นที่ปฏิบัติการ ณ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมี ร้อย.ปล.ที่ 1 เข้าปฏิบัติการ บริเวณ บ้านวังเลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ร้อย.ปล.ที่ 2 และ ร้อย.ป. เข้าตั้งฐานบริเวณบ้านโรงเหล็ก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช และ ร้อย.ปล.ที่ 3 เข้าตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณ บ้านวังเลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช แล้วก็หน่วย ทก.ฉก.นย.201 มว.ส., มว.ช., มว.ลว. และ มว.พ. เข้าตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณ บ้านในถุ้ง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ภารกิจในขั้นต้นของ ฉก.นย.201 นั้น ได้ทำการด้านการข่าว โดยออกไปพบปะประชาชนรอบๆ ฐานปฏิบัติการ พร้อมกับทำการลาดตระเวนในพื้นที่ ยุทธการครั้งนี้ถือเป็นยุทธการครั้งสำคัญของ “ทหารนาวิกโยธิน” ที่ได้ถูกกำหนดตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 2520 โดยกองร้อยที่ 1, 2 และ 3 ได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่เป้าหมาย

ผลการปะทะ และความสูญเสีย

  • ฝ่ายเรา เสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ สาหัส 39 นาย บาดเจ็บเล็กน้อย 27 นาย
  • ฝ่ายข้าศึก เสียชีวิต 5 คน มอบตัว 52 คน แนวร่วมถูกจับกุม 124 คน
  • ปะทะกับ ผกค. 32 ครั้ง ถูกกับระเบิดของ ผกค. 25 ครั้ง ถูก ผกค.ซุ่มโจมตี 25 ครั้ง ถูก ผกค.ยิงรบกวนฐานปฏิบัติการ 25 ครั้ง ยึดค่ายพักของ ผกค.ได้ 81 หลัง ยึดยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกได้ 4 หลัง ยึดโรงยาสูบของ ผกค.ได้ 2 หลัง ยึดโรงเลื่อยของ ผกค.ได้ 2 หลัง ยึดไร่ผักขนาดใหญ่ได้ 2 แห่ง

แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/warofhistory

ยุทธการผาภูมิ

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

หลังการฝึกร่วม ปี 16 ตามแผนยุทธการสามชัย ในการปราบปราม ผกค. ที่ภูหินร่องกล้า บริเวณพื้นที่รอยต่อของจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ และ เลย ได้เสร็จสิ้นไปด้วยความสำเร็จผลอย่างงดงามแล้ว บก.ทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้มีการฝึกร่วมในปี 17 อีกครั้งหนึ่ง ตามแผนยุทธการผาภูมิ เพื่อปราบปราม ผกค. ที่ดอยผาจิ ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อของจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน ยุทธการผาภูมิเป็นการฝึกร่วม ประจำปี 2517 ระหว่าง 3 เหล่าทัพ ร่วมกับกำลังตำรวจและพลเรือน เป็นการฝึกในลักษณะจริงคือ การปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ มีกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบประสานการปฏิบัติโดยตรงกับกองทัพเริอ กองทัพอากาศ ตำรวจและพลเรือน ตามคำสั่ง บก.ทหารสูงสุด ให้ ทร. จัดกำลังร่วมในการฝึก จึงขอให้ ทร. จัดตั้งกองอำนวยการฝึกร่วมฝ่ายทหารเรือ ปี 17 (กอฝ.ทร.17) วางแผน ควบคุม และ อำนวยการ ด้านการสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยกำลัง ทร. ตามแผนการฝึกร่วม ปี 17 จัดตั้งกำลังเฉพาะกิจนาวิกโยธินเข้าร่วมการฝึก โดยมอบให้ขึ้นการควบคุมอำนวยการแก่ กอฝ.ทร.17 ตั้งแต่ขั้นเตรียมการจนเสร็จสิ้น การฝึก (กองทัพเรือ มอบให้ กรมนาวิกโยธิน เป็นหน่วยจัดกำลัง 1 กองพันทหารราบเพิ่มเติมกำลัง) การจัด ฉก.นย. 171 การจัดกำลัง 1 กองพันทหารราบเพิ่มเติมกำลังครั้งนี้ มีชื่อเรียกหน่วยนี้เป็นทางราชการว่า “หน่วยกำลังเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 171” เรียก ชื่อย่อ ว่า “ฉก.นย. 171” ยุทธการผาภูมิ เหตุผลที่เรียกชื่อหน่วยนี้เป็นตัวเลขว่า “ฉก.นย. 171” เนื่องจากในขณะนั้น พลเรือโทโสภณ สุญาน เศรษฐกร เป็น ผบ.นย. มีแนวความคิดว่า หากในปีนี้เรียกชื่อหน่วยนี้ว่า พัน.ฉก.นย. อีก ชื่อนี้ ก็จะซ้ำกับ พัน.ฉก.นย. ในการปราบปราม ผกค. ที่ภูหินร่องกล้าของปีที่แล้ว ผบ.นย. จึงกำหนดนโยบายในการให้ตัวเลขของหน่วยว่า “ตัวเลข 2 ตัวแรกจะเป็นปีของ พ.ศ. ที่ออกปฏิบัติการและตัวเลขตัวหลังจะเป็นจำนวนครั้งของทหาร นย. ที่ออกปฏิบีติการในปี งป. นั้น ซึ่งในปีนี้นับเป็นปีแรกที่ นย. ใช้ระบบการเรียกชื่อของหน่วยเป็นตัวเลขอย่างนี้ และ นย. ใช้ระบบนี้อยู่หลายปี จนกระทั่งเลิกใช้ เมื่อ งป.27 ฉะนั้น ฉก.นย. 171 จึงมีความหมายว่า นย. จัด ฉก.นย. หน่วยนี้ออกปฏิบัติการใน ปี งป.17 เป็น ครั้งที่ 1 ของปีงปประมาณนั้น สำหรับ ผบ.หน่วย ฉก.นย.171 คือ น.อ.ผลึก สระวาสี เป็น ผบ.ฉก.นย.171 น.ท.เสริมศักดิ์ สังขจันทรานนท์ เป็น รอง ผบ.ฉก.นย.171 และ น.ท.ธรรมนูญ นาคสกุล เป็น เสธ.ฉก.นย.171 มียอดกำลังพลรวม 1,247 นาย


ในการเคลื่อนย้ายไปพื้นที่ปฏิบัติการของ ฉก.นย. 171 นั้น เริ่มสนธิกำลังที่สัตหีบ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทหารนาวิกโยธินที่ได้เคลื่อนย้ายกำลังทั้งกองพันเพิ่มเติมกำลังด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ จากสัตหีบไปจังหวัดเชียงราย สำหรับพลทหารนั้นตื่นเต้นมาก เพราะตลอดชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินอย่างนี้อีก ฉก.นย.171 ขึ้นเครื่องบินของกองทัพอากาศ ชนิด ซี.123 ออกเดินทางจากสนามบินกองบิน 7 สัตหีบ (บน.7 ขณะนั้นยังเป็นของกองทัพอากาศ) ไปลงที่สนามบิน อ.เชียงคำ จว.เชียงราย ต่อจากนั้นเคลื่อนย้ายด้วยยานยนต์เข้าพื้นที่ปฏิบีติการที่ ดอยผาจิ จว.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน ตามแผนยุทธการผาภูมิ บก.ทหารสูงสุดได้กำหนดการปฏิบัติออกเป็น 2 ช่วง คือ

  • ช่วงแรกตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน 2516 เป็นการฝึกเสริมความมั่นคงเพื่อให้ความคุ้มครองและความปลอดภัยแก่ราษฎรในหมู่บ้านให้คำแนะนำในการป้องกันหมู่บ้านสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎร ปฏิบัติการจิตวิทยารวมทั้งการดำเนินการต่างๆ เพื่อตัดความสัมพันธ์ระหว่าง ผกค. ในป่ากับราษฎรในหมู่บ้าน
  • ช่วงที่ 2 เป็นการปฏิบัติการขั้นแตกหักตั้งแต่วันที่ 9 – 30 ธันวาคม 2516 รวมระยะเวลาในการปฏิบัติการรบครั้งนี้ 22 วัน โดยได้รับมอบพื้นที่ปฏิบัติการ ที่ บ.ขุนน้ำยัด ดอยผาจิ อ.ปง จว.เชียงราย ได้ใช้กำลังพิสูจน์ทราบและกวาดล้าง ผกค. ตามพิกัดเป้าหมาย ที่ได้รับมอบจากหน่วยเหนือและสามารถยึดที่หมายต่างๆ ไว้ได้สำเร็จตามภารกิจที่ได้รับมอบ และได้เดินทางกลับสู่พื้นที่ราบถึงฐาน บ.ผาตั้ง เมื่อ วันที่ 30 ธันวาคม 2516

ฉก.นย.171 เมื่อสำเร็จภารกิจที่ได้รับมอบและจบการฝึกร่วม ปี 17 ตามแผนยุทธการผาภูมิแล้ว ได้เคลื่อนย้ายกลับที่ตั้งปกติ โดยทางรถไฟถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงและเคลื่อนย้ายต่อด้วยยานยนต์ กลับสัตหีบถึงที่ตั้งปกติเมื่อ วันที่ 11 มกราคม 2517 รวมเวลาในการเดินทางไปปฏิบัติการครั้งนี้ 84 วัน บทเรียนจากการรบ


แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/warofhistory

ยุทธการสามชัย

⇧ เหตุการณ์สำคัญ

ยุทธการสามชัย เป็นวีรกรรมของทหารนาวิกโยธินในการปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ยุทธการสามชัย เป็นการปฏิบัติการจริงที่แฝงมาในการฝึกชื่อเป็นทางการว่า การฝึกร่วม 16 เป็นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในพื้นที่ภาคเหนือบริเวณรอยต่อ 3 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และ เลย ปฏิบัติการในห้วงเวลาระหว่างวันที่ 3 กรกฎาคม 2515 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2516 ใช้งบประมาณประจำปี 2516 นับว่าเป็นยุทธการแรกที่นาวิกโยธินได้มีโอกาสไปร่วมปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับทัพบกไทย (กองทัพภาคที่ 3) และทหารอากาศ ในพื้นที่ป่าภูเขาซึ่งอยู่ห่างไกลที่ตั้งของตนเอง และมีภูมิประเทศที่แตกต่างจากชายฝั่งทะเลที่ทหารนาวิกโยธินมีความ คุ้นเคย


จากเอกสาร การบรรยายสรุปของ นาวาเอกประชา กนิษฐชาต ผบ.ผส.นย. ที่บรรยายสรุปให้ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ทราบเกี่ยวกับ ยุทธการสามชัย หรือ การฝึกร่วม 16 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2515 ช่วยให้ทราบสาเหตุและความเป็นมาที่กองทัพบกขอให้กองทัพเรือจัดหน่วยนาวิกโยธินไปร่วมปฏิบัติการตลอดจนภูมิหลังต่างๆ ที่พอให้คนรุ่นหลังได้ทราบ ดังต่อไปนี้

  • ช่วงกลางเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2515 กำลังของหน่วยนาวิกโยธิน เพิ่งกลับจากการฝึกทดสอบแผนในการปฏิบัติการในภาคใต้ ก็ได้รับคำสั่งให้ไปวางแผนกับ กองทัพบกในการฝึกร่วม 16 ที่ ศปก.ทบ. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2515 ทันที
  • จากคำกล่าวของ ผอ.ฝร.16 ในการประชุมวางแผน ฝึกร่วม 16 มีสาระสำคัญว่า “ทบ.ไม่มีเวลาพักผ่อนในการปราบปราม ผกค. โดยเฉพาะในเขต ทภ.3 ขอให้ ทร. ได้ช่วยบ้าง เพื่อให้ ทบ.ได้มีเวลาพักผ่อนตามสมควร”
  • การเคลื่อนย้ายกำลังต่างๆ ของกองพันเฉพาะกิจนาวิกโยธิน (พัน.ฉก.นย.) จากที่รวมพล พัน.ร.1 ผส.นย. ค่ายกรมหลวงชุมพรฯ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เข้าสู่พื้นที่รวมพลขั้นสุดท้ายที่ค่ายลูกเสือเมืองลุ่ม อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยยานยนต์กระทำเป็น 3 ส่วน ส่วนการเคลื่อนย้ายจากที่รวมพลขั้นสุดท้ายขึ้นสู่ ฐานปฏิบัติการบ้านป่ายาบซึ่งอยู่บนเขา ในพื้นที่รับผิดชอบนั้นกระทำด้วยกำลังทางอากาศ กำลังพลทหารราบลำเลียงด้วย ฮ.ฮิวอี้ ของกองบินทหารบก และของกองทัพอากาศรวม 105 เที่ยว ปืนใหญ่ 105 มม. ยกหิ้วด้วย ฮ.ซีนุก ของกองทัพบก ที่ตั้งกองพันทางยุทธวิธี ตั้งอยู่ที่บ้านป่ายาบ ณ ฐานปฏิบัติการ บ้านป่ายาบ ซึ่งตั้ง อยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งของเทือกเขาที่เป็นรอยต่อเขตแดน 3 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ เลย และ พิษณุโลก ซึ่งมีภูหินร่องกล้ารวมอยู่ด้วยนี้
  • กำลังของ บก.กองกำลังนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำลังในกองกำลังเขตกองทัพภาค 3 (ส่วนหน้า) และชุดสนับสนุนการช่วยรบนั้น เคลื่อนย้ายจาก บก.ผส.นย. ฐานทัพเรือสัตหีบ โดยยานยนต์ไปเข้าที่รวมพล ที่ค่ายลูกเสือพ่อขุนผาเมือง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ในขั้นการเคลื่อนย้ายเข้าสู้พื้นที่ปฏิบัติการนี้ ใช้เวลาตั้งแต่ 3 พฤศจิกายน ถึง 28 พฤศจิกายน 2515 รวมทั้งสิ้น 26 วัน
  • ระยะเวลาปฏิบัติการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2515 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2516 รวมระยะเวลาการรบทั้งสิ้น 60 วัน ในยุทธการสามชัย นาวิกโยธินได้บทเรียนมากมายสำหรับการรบครั้งหนึ่งในหลายๆ ครั้ง
  • ในยุทธการสามชัยนี้ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติการร่วมกันของ กำลังทางทหารบก ทหารเรือและทหารอากาศ ของสามเหล่าทัพจริง ๆ สมตามชื่อว่า “ยุทธการสามชัย” คือ การช่วยคนเจ็บกลับออกจากพื้นที่การรบของกองร้อยปืนเล็กที่ 2 ซึ่งมี เรือเอกชีวิน ปิ่นทอง เป็นผู้บังคับกองร้อย เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้เกาะอยู่รอบๆ ฐานปฏิบัติการของกองร้อย การนำเฮลิคอปเตอร์ลงรับคนป่วยต้องใช้ อากาศยานของกองทัพอากาศทิ้งระเบิดและยิงปืนกลสกัด ทำลาย ข่มไว้ทางด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งใช้ปืนใหญ่ 105 มม. จากกองร้อยปืนใหญ่นาวิกโยธิน ซึ่งมี เรือเอกสมภูรณ์ สุนทรเกตุ เป็น ผบ.ร้อย. ยิงสกัดข่มไว้อีกด้านหนึ่ง และเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก จะต้องบินรอดใต้วิถีกระสุนของปืนใหญ่เข้ามา เพื่อที่จะลงรับคนป่วยและทำได้สำเร็จ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติการร่วมของ 3 เหล่าทัพที่สมบูรณ์จริงๆ
  • การปะทะกับ ผกค. ซึ่ง ๆ หน้าในลักษณะการปฏิบัติแบบฉับพลัน ฝ่ายเราได้เปรียบตลอด ยิงก่อน ยิงแม่นกว่า การเคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการระดับกองร้อย หรือระดับหมวดทุกๆ วันไม่เคยถูก ผกค. รบกวนฐานเพราะ ผกค. ยังตรวจหาไม่พบฐานฝ่ายเรา เนื่องจากเดาไม่ถูกว่าฝ่ายเราเคลื่อนย้ายไปทางไหน เพราะเราเดินตามเข็มทิศ ไม่ได้เดินตามเส้นทาง แม้เมื่อถูกตรวจพบฐาน ผกค. จะพยายามยิงเพื่อให้ฝ่ายเรายิงโต้ตอบ เพื่อเปิดเผยแนว แต่เมื่อฝ่ายเราเงียบสงบและจะยิงเฉพาะเมื่อเห็นตัวเท่านั้น ซึ่ง ผกค. ก็จะบาดเจ็บกลับไปแทบทุกครั้ง และตราบใดที่ ผกค. ยังไม่ทราบแนวป้องกันของเรา ผกค.จะไม่กล้าเข้าตีเป็นกลุ่มก้อน
  • เมื่อสิ้นสุดยุทธการรบในคราบการฝึกครั้งนี้ พลโท บุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้อำนวยการฝึกร่วมปี 16 ได้กล่าวรายงานสรุปผลการฝึกร่วมปี 16 ให้แก่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการทหารเรือ และอธิบดีกรมตำรวจ พร้อมด้วยผู้แทนจาก 3 เหล่าทัพ ประมาณ 300 คน ณ หอประชุม กิตติขจร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2516 ตอนหนึ่ง ที่ท่านผู้อำนวยการฝึกร่วมปี 16 กล่าวถึงกองพันเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ไว้ว่า “กระผมมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่มีกำลังของหน่วยนี้ เข้าปฏิบัติร่วมด้วย ตลอดระยะเวลาที่กำลังนาวิกโยธินหน่วยนี้ เข้าปฏิบัติการ กระผมขอกราบเรียนด้วยความจริงใจว่า กองพันนาวิกโยธิน กองพันนี้ มีประสิทธิภาพสูง สามารถเข้าร่วมการฝึกเคียงบ่าเคียงไหล่ กับกองพันของกองทัพบกได้อย่าง ดีเยี่ยม”

แหล่งอ้างอิง

  • https://www.facebook.com/warofhistory

ประวัติกองทัพเรือ

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

พิธีพยุหยาตราทางชลมารค สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

กองทัพเรือ มีกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กองทัพไทยในสมัยนั้น มีเพียงทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่นในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพไปทางบก ก็เรียกว่า “ทัพบก” หากยาตราทัพไปทางเรือ ก็เรียกว่า “ทัพเรือ” การจัดระเบียบการปกครองบังคับบัญชา กองทัพไทยในยามปกติสมัยนั้น ยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ในยามศึกสงครามได้ใช้ทหาร “ทัพบก” และ”ทัพเรือ” รวม ๆ กันไป ในการยาตราทัพเพื่อทำศึกสงคราม ภายในอาณาจักร หรือ นอกอาณาจักรก็มีความจำเป็น ต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจากจะสามารถลำเลียงเสบียงอาหารได้คราวละมาก ๆ แล้ว ยังสามารถลำเลียงอาวุธหนัก ๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวกและรวดเร็วกว่าทางบกด้วย จึงนิยมยกทัพไปทางเรือจนสุดทางน้ำแล้วจึงยกทัพต่อไปบนทางบก เรือรบที่เป็นพาหนะของกองทัพไทยสมัยโบราณ มี 2 ประเภทด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำและเรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐานจากลักษณะที่ตั้งของราชธานี ซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบและมีแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางในการคมนาคม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องใช้น้ำ ในการบริโภคและการเกษตรกรรมแล้ว เรือรบในแม่น้ำคงมีมาก่อนเรือรบในทะเล เพราะสงครามของไทยในระยะแรก ๆ จะเป็นการทำสงครามในพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย กล่าวคือเป็นการทำสงครามกับพม่า เป็นส่วนมาก


เรือรบในแม่น้ำ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. 2076 – 2089) ทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยคืนจากพม่า ใน พ.ศ. 2081 ต่อจากนั้นไทยก็ได้ทำศึกสงครามกับพม่ามาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำในสมัยนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะใช้ทำศึกสงครามมากกว่าเรือรบในทางทะเล เรือรบในแม่น้ำเริ่มต้นมาจากเรือพายเรือแจวก่อน เท่าที่พบหลักฐานไทยได้ใช้เรือรบประเภทเรือแซ เป็นเรือรบในแม่น้ำเพื่อใช้ในการลำเลียงทหารและเสบียงอาหารมาช้านาน โดยใช้พาย 20 พาย เป็นกำลังขับเคลื่อน ให้เรือแล่นไป

รูปศีรษะสัตว์ประกอบเรือรบ

ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2091 – พ.ศ. 2111) ได้ทำศึกสงครามกับพม่าหลายครั้ง พระองค์ทรงคิดดัดแปลง เรือแซเป็นเรือไชยเพื่อใช้ในการลำเลียงทหารได้มากขึ้น เนื่องจากเรือแซที่ใช้เป็นพาหนะมาแต่เดิม ลำเลียงทหารและเสบียงอาหารได้น้อย จึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นพาหนะในการทำสงคราม ในครั้งนั้นจึงได้มีการเปลี่ยน หน้าที่ของเรือแซโดยใช้เป็นพาหนะในการลำเลียงเสบียงอาหารและเครื่องศาสตราวุธ สำหรับเรือไชยที่ทรงดัดแปลงใหม่นั้นเป็นเรือที่มีลักษณะลำเรือยาวใช้ฝีพายประมาณ 60 – 70 คน แล่นได้รวดเร็วกว่าเรือแซ ปรากฏว่าในคราวที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้นำปืนใหญ่ไปติดตั้งที่เรือไชยออกแล่นยิงค่ายพม่าจนพม่าต้องถอยทัพกลับไป ในเวลาเดียวกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงคิดสร้าง เรือรบรูปศีรษะสัตว์เพื่อใช้ทำสงครามขึ้นอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะเช่นเดียวกับเรือไชยโดยทำหัวเรือให้กว้างขึ้นเพื่อให้สามารถติดตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือได้ ต่อมายังได้มีการคิดสร้างเรือรบในแม่น้ำขึ้นอีกประเภทหนึ่ง คือ เรือกราบ แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใดสร้างขึ้น เรือกราบที่คิดสร้างขึ้นใหม่นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับเรือไชยแต่แล่นได้รวดเร็วกว่าเรือไชย

เรือรบในทะเล สำหรับเรือรบในทะเล ในสมัยแรกยังไม่มีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะเท่าเรือรบในแม่น้ำ เนื่องจากลักษณะที่ตั้งตัวราชธานี อยู่ไกลจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็นในการใช้เรือจึงมีน้อยกว่าในยามปกติ ก็นำเอาเรือที่ใช้ในทะเลมาเป็นพาหนะในการบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายยังหัวเมืองชายทะเลต่าง ๆ และประเทศข้างเคียง ครั้นเมื่อบ้านเมืองมีศึกสงคราม ก็นำเรือเหล่านี้มาติดอาวุธปืนใหญ่เพื่อใช้ทำสงคราม แต่ครั้งโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่มใช้เรือรบในทะเลในการทำศึกสงครามบ้างแล้ว เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองทวาย เมื่อ พ.ศ. 2135 และในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ. 2384 เป็นต้น ส่วนเรือรบในทะเลจะมีเรือประเภทใดบ้างยังไม่อาจทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเรือใบหลายประเภทด้วยกัน ถ้าเป็นเรือขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นเรือสำเภาแบบจีน เรือกำปั่นแปลง แต่ถ้าเป็นเรือขนาดย่อมลงมาจะเป็นเรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และ เรือแบบแขก เป็นต้น

เรือกำปั่นไฟสมัยรัชกาลที่ 3

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ราชธานีตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น จึงทำให้มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศในยุโรป เรือรบในทะเลของไทย แต่เดิมซึ่งนิยมสร้างเรือแบบสำเภาจีน เริ่มเปลี่ยนแปลงหันมานิยมสร้างเรือกำปั่นใบแบบยุโรปมากขึ้น เนื่องจากเรือกำปั่นใบแบบยุโรปสามารถสร้างให้มีขนาดใหญ่ มีใบรับลมมากกว่าเรือสำเภาจีน ทำให้สามารถบังคับเรือ ได้ง่ายและแล่นได้เร็วกว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เกรงว่าต่อไปอนุชนรุ่นหลังจะไม่รู้จักเรือสำเภาจีนที่เคยมีความสำคัญมาในอดีต จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือสำเภาจีนไว้ที่วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เรือรบในทะเลได้พัฒนาจากเรือสำเภาจีนมาใช้เรือกำปั่นแบบใช้ใบแล้ว ต่อมาเมื่อได้มีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นในยุโรป และได้เริ่มนำมาใช้กับเรือ เรือรบในทะเลของไทยก็ได้เปลี่ยน การขับเคลื่อนเรือจากใช้ใบมาเป็นเรือแบบเรือกลไฟ ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเริ่มจากเรือใช้จักรข้างก่อน แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้จักรท้ายได้พัฒนาการขับเคลื่อนของเรือจากเครื่องจักรไอน้ำ มาเป็นเครื่องยนต์ดีเซล จากเครื่องยนต์ดีเซลก็พัฒนามาใช้เครื่องยนต์แบบเทอร์ไบน์ผสมแก๊สและไอน้ำมาถึงปัจจุบัน ส่วนตัวเรือแต่ก่อนใช้ไม้สร้างก็เปลี่ยนมาสร้างด้วยเหล็กเช่นกัน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทหารเรือมีอยู่ 2 แห่งคือ ทหารเรือวังหน้าขึ้นอยู่ในความปกครองบังคับบัญชาของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งหนึ่ง กับทหารมะรีนสำหรับเรือรบขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหม อีกแห่งหนึ่ง ในสมัยต้นของรัชกาลที่ 5 การปกครองประเทศยังเป็นระบบจตุสดมภ์อยู่ มีกรมพระกลาโหมว่าการฝ่ายทหาร ในขณะนั้นกิจการ ฝ่ายทหารเรือแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนหนึ่งขึ้นในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมเรียกว่า กรมอรสุมพล อีกส่วนหนึ่งขึ้นในบังคับบัญชาของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เรียกว่า ทหารเรือฝ่ายพระราชวังบวร หรือทหารเรือวังหน้า กรมอรสุมพลมีหน่วยขึ้นในสังกัดคือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ทหารเรือวังหน้า มีหน่วยขึ้นในสังกัดคือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล บางทีเรียกว่ากองกะลาสี ใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัวได้เสด็จกลับจากการเสด็จประพาสอินเดีย ได้ทรงปรับปรุงหน่วยทหารในกองทัพขึ้นใหม่ โดยแบ่ง ออกเป็น 9 หน่วย ดังนี้ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง กรมทหารหน้า กรมทหารปืนใหญ่ กรมทหารช่าง กรมทหารฝีพาย กรมทหารเรือพระที่นั่ง (เวสาตรี) กรมอรสุมพล

กรมทหารเรือ ใน พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) เสด็จทิวงคต ทหารฝ่ายพระราชวังบวรทั้งทหารบก และทหารเรือได้ถูกยุบเลิกไป จึงทำให้ทหารเรือในขณะนั้น มี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ กรมเรือพระที่นั่ง ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพลขึ้นตรงกับสมุหพระกลาโหม ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั่วไปในกรมทหาร (Commander in chief) ตามโบราณราชประเพณี พร้อมกับประกาศจัดการทหาร เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 โดยจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้นในประกาศนี้ ให้รวมบรรดากองทหารบก กองทหารเรือทั้งหมดขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่ในระหว่างที่ยังทรงพระเยาว์ให้มีผู้ทำการแทนผู้บังคับบัญชาทั่วไป โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นผู้แทนบังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหาร และให้รั้งตำแหน่งเจ้าพนักงานใหญ่ผู้จัดการในกรมทหาร สำหรับทหารเรือทรงตั้งนายพลเรือโทพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์เป็นเจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ (Secretary to the Navy) มีหน้าที่ ดังนี้

  1. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อบังคับทหารรเรือ
  2. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนผู้คนในทหารเรือ
  3. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกหัดทหารเรือ
  4. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับเรือรบหลวง
  5. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับพาหนะทางเรือ

ต่อมาใน พ.ศ. 2433 ได้มีการยกเลิกประกาศจัดการทหารที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2430 นั้นเสีย และได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2433 ขึ้นแทน พระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการฉบับใหม่นี้ให้เรียกกรมยุทธนาธิการเสียใหม่ว่า กระทรวงยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) มีหน้าที่บังคับบัญชาราชการทหารและพลเรือนที่เกี่ยวข้องแก่การทหารบก ทหารเรือ ตามพระราชบัญญัติใหม่นี้ให้ยกเลิกตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหารเรือ และตั้งตำแหน่งใหม่ เรียกว่า จอมพล (จอมทัพ) (Commander in chief) สำหรับบังคับบัญชาราชการในกรมทหารบก กรมทหารเรือ โดยสิทธิ์ขาดโดยพระราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ดำรงตำแหน่งที่จอมพลนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีตำแหน่งทรงปฏิบัติในหน้าที่จอมพลด้วยเหมือนกัน กรมที่บังคับบัญชาทหารแบ่งออก เป็น 2 กรม คือ กรมทหารบก กรมทหารเรือ ในครั้งนี้ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงยุทธนาธิการ พระยาสุรศักดิ์มนตรีเป็น ผู้บัญชาการทหารบก นายพลโทพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ (พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (Chief Staff of the Navy) สำหรับกรมทหารเรือแบ่งส่วนราชการ ออกเป็น

  1. กรมกลาง
  2. กองบัญชีเงิน
  3. กรมคลังพัสดุทหารเรือ
  4. กองเร่งชำระ
  5. กรมคุกทหารเรือ
  6. กรมอู่
  7. กรมช่างกล
  8. โรงพยาบาลทหารเรือ
  9. ทหารนาวิกโยธิน
  10. เรือรบหลวงและเรือพระที่นั่งประจำการ
พระราชวังเดิม

กองทัพเรือ ใน พ.ศ. 2435 ได้มีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหม่ และยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์ กำหนดให้มีกระทรวง ในราชการ ทั้งหมด 12 กระทรวง กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ปกครองบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร กระทรวงกลาโหมไม่ต้องเกี่ยวกับการปกครองทางหัวเมืองอย่างแต่ก่อน คงมีหน้าที่เกี่ยวด้วย ราชการทหารอย่างเดียว ใน พ.ศ. 2435 นี้ จึงได้โอนกรมทหารเรือซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับกระทรวงยุทธนาธิการมาขึ้นกับกระทรวงกลาโหม กรมทหารเรือได้เจริญก้าวหน้ามาตามลำดับ จนถึง พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม และในวันเดียวกันนั้น ก็ได้ประกาศแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เนื่องจากการป้องกันประเทศเป็นงานใหญ่ที่ทหารบกและทหารเรือจำเป็นต้องร่วมกันคิดอ่านจัดการตามหน้าที่ ที่ประชุมเสนาบดีจึงเห็นสมควรจัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักรขึ้นเพื่อทำหน้าที่ประสานงาน ระหว่างทหารบกและทหารเรือให้ดำเนินไปได้โดยสอดคล้องร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง สภานี้มีองค์พระประมุขเป็นประธานและโปรดเกล้าฯ ให้เสนาธิการทหารบกเป็นเลขานุการประจำเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ พร้อมทั้งจอมพลในและนอกประจำการเป็นสมาชิกสภาแห่งนี้ทุกนาย นับตั้งแต่มีการเลื่อนฐานะกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ ก็ได้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการทหารเรือ อยู่เสมอแต่มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากหลักการเดิม เพียงแต่ว่าส่วนราชการต่างๆ มีความจำเป็นต้องขยายกิจการให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เมื่อราชการบางส่วนมีกิจการเพิ่มขึ้นก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกรมหรือกอง ตามความสำคัญ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ภาวะทางเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำเป็นผลทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบดังกล่าวนี้ด้วย ทำให้ฐานะทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ อยู่ในภาวะตกต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาตัดทอนรายจ่ายของประเทศให้น้อยลง ให้สมดุลกับรายได้เป็นผลทำให้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการเสียใหม่ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 โดยทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้รวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบกเป็นกระทรวงเดียวกันเสีย กระทรวงที่บังคับบัญชาทั้งทหารบกและทหารเรือร่วมกันนี้ เรียกว่า กระทรวงกลาโหมเหมือนอย่าง แต่ครั้งก่อน ใน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศใหม่ ทางด้านกองทัพเรือก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดยกระทรวงทหารเรือได้ลดฐานะเป็นกรมทหารเรือในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศนี้ ได้จัดให้มีคณะกรรมการกลางกลาโหมขึ้น นอกจากนั้นส่วนราชการของทหารเรือบางส่วนซึ่งได้เอาไปรวมกับฝ่ายทหารบก ก็กลับมาสังกัดอยู่ใน กรมทหารเรือตามเดิมอีก กรมต่าง ๆ ของทหารเรือลดฐานะมาเป็นกองทั้งหมด เว้นแต่กรมเสนาธิการทหารเรือ จนกระทั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อกรมทหารเรือเป็น กองทัพเรือ


แหล่งอ้างอิง

  • https://www3.navy.mi.th

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑