Category: Uncategorized

พันท้ายนรสิงห์

⇑ บุคคลสำคัญ

พันท้ายนรสิงห์ เดิมมีนามว่า สิน เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบัน คือ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง) มีภรรยาชื่อว่า ศรีนวล ต่อมา ได้มีโอกาสรับราชการเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกชัย ของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่าง ๆ โดยเนื้อความเป็นไปในลักษณะเดียวกันว่า พันท้ายนรสิงห์และพระเจ้าเสือพบกันเป็นครั้งแรก เมื่อพระเจ้าเสือเสด็จฯ ไปยังตำบลบ้านตลาดกรวด อันเป็นตำบลบ้านหนึ่งของแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ซึ่งครั้งนั้นพระเจ้าเสือได้ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับพันท้ายนรสิงห์ ปรากฏว่า ผลการชกออกมาเสมอกัน และด้วยความที่พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจ ในตัวพันท้ายนรสิงห์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการเป็นพันท้ายนรสิงห์ ตำแหน่งนายท้ายเรือพระที่นั่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป

เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของพันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่ยกย่องด้านความซื่อสัตย์นั้น มาจากเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2246-2252 ครั้งที่สมเด็จพระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย จะไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี ขณะเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขาม ซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยว และมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้าย เรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน ทำให้หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์รู้ว่า ความผิดครั้งนี้มีโทษถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ที่กำหนดว่า “ถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย” พันท้ายนรสิงห์จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเสือให้ประหารชีวิตตามกฎมณเฑียรบาล แต่พระเจ้าเสือทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์ก็ยังยืนยันขอให้ตัดศีรษะตน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่า ทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระเจ้าเสือ จึงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน แม้พระเจ้าเสือจะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใด ก็ทรงจำฝืนพระทัยปฏิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์ แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลพันท้ายนรสิงห์ (ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี


ต่อมา พระเจ้าเสือ พระราชดำริว่า คลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า “คลองสนามไชย” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “คลองมหาชัย” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “คลองถ่าน” ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี เรียกชื่อว่า “คลองด่าน” และด้วยคุณงามความดีของพันท้ายนรสิงห์ที่ถูกบอกเล่าต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ก็ทำให้พันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก ในด้านความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ที่มีต่อกฎหมายบ้านเมือง ยอมตายเพื่อมิให้กฎหมายบ้านเมืองคลายความศักดิ์สิทธิ์ ดังคำที่ว่า “ตายในหน้าที่ ดีกว่าอยู่ให้อับอาย”


แหล่งอ้างอิง

  • https://hilight.kapook.com

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

⇑ รายนามผู้บัญชาการทหารเรือ

⇑ บุคคลสำคัญ

พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือที่ออกพระนามกันว่า “วังหน้า” มีพระเกียรติยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 เมื่อมีพระชนมายุได้ 43 พรรษา โดยทำหน้าที่เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า ช่วง พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2408 (ผู้บัญชาการทหารเรือ คนแรก)

ประวัติเมื่อทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 50 หรือ พระราชกุมารพระองค์ที่ 27 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 3 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระองค์พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งในครั้งนั้นเรียกว่า พระบวรราชวังใหม่ อันเนื่องมาจากในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยดำรงพระอิสริยยศที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยมีคุณหญิงนก (ไม่ทราบสกุล) เป็นพระพี่เลี้ยง พระองค์มีพระเชษฐาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฏ (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี ภายหลังพระองค์ประสูติได้ประมาณ 1 ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จสวรรคตเป็นผลให้สมเด็จพระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้เสด็จตามสมเด็จพระราชบิดา มาประทับในพระบรมมหาราชวังพร้อมกับพระราชมารดาและพระเชษฐา เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 12 พรรษา มีการพระราชพิธีโสกันต์อย่างธรรมเนียมสำหรับเจ้าฟ้า หลังจากนั้น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ 13 พรรษา ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อศึกษาศีลธรรมและพระศาสนา เมื่อพระองค์ลาผนวชทรงได้ศึกษาวิชาตามแบบแผนราชสกุลที่จัดให้เจ้านายเรียน โดยพระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม ร่วมพระอาจารย์เดียวกับสมเด็จพระเชษฐาของพระองค์ เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองคใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชสมบัติพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงสด็จกลับไปประทับ ณ พระราชวังเดิม พร้อมกับพระราชมารดา ส่วนสมเด็จพระเชษฐาของพระองค์นั้น ทรงสมณเพศประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุและวัดสมอราย เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 21 พรรษา ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หลังจากลาผนวชพระองค์จึงเข้ารับราชการ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


เข้ารับราชการ พระองค์ทรงเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงบังคับบัญชากรมทหารปืนใหญ่ กรมทหารแม่นปืนหน้าปืนหลัง และญวนอาสารบแขก อาสาจาม ต่อมาสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพเสด็จสวรรคต เป็นเหตุให้ข้าไทในเจ้านายต่าง ๆ คาดว่าเจ้านายของตน จะได้รับการสถาปนาที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระยาศรีพิพัฒน์ราชโกษา (ต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)) จึงกราบทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ถ้าไม่ทรงตั้งกรมพระราชวังฯ แล้ว ขอให้ยกเจ้าต่างกรมผู้ใหญ่เลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวง กรมขุน เพื่อให้ข้าไทเห็นว่าเจ้านายของตัวได้เลื่อนยศเพียงนั้น จะได้หายตื่น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเห็นด้วยและโปรดให้เลื่อนกรมและตั้งกรมเจ้านายรวม 8 พระองค์ด้วยกัน โดยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี ปรากฏว่ามีความชอบในราชการ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมที่กรมขุน มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 24 พรรษา

พระเจ้าแผ่นดินสยาม พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่พระมงกุฎ วชิรญาณะ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกาลต่อมา) จึงมอบหมายให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร แต่พระมงกุฎยังไม่ลาผนวชและตรัสว่าต้องอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่สามารถ ควบคุมกำลังทหารเป็นอันมากได้ จึงมีพระชะตาแรงและต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงได้มีการเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นทรงราชสมบัติที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และทรงรับพระบวรราชโองการให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศร์มหิศเรศรังสรรค์ มหันตรวรเดชโชไชย มโหฬารคุณอดุลย สรรพเทเวศรานุรักษ บวรจุลจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อิศวรราชรามวรังกูร บรมมงกุฎนเรนทร สูรยโสทรานุชาธิบดินทร เสนางคนิกรินทร บวราธิเบศร พลพยุหเนตรนเรศวร มหิทธิวรนายก สยามาทิโลกดิลกมหาบุรุษรัตนไพบูลยพิพัฒนสรรพศิลปาคม สุนทรโรดมกิจโกศล สัตปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตนบวรมหาราชาภิเศกาภิสิต สรรพทศทิศพิชิตไชยอุดมมไหสวริยมหาสวามินทร สเมกธรณินทรานุราช บวรนารถชาติอาชาวศรัย ศรีรัตนไตรสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิสรรพรัษฎาธิเบนทร ปวเรนทรธรรมมิกราชบพิตร พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” ตั้งแต่เมื่อครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศโดยเฉพาะ พวกฝรั่งชาวตะวันตกและพร้อมกับเป็นพระกำลังที่สำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ทรงเข้าร่วมการเจรจาทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาเบาริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่มีชื่อเสียงโด่งดังกับราชทูตประเทศอังกฤษ พระเกียรติยศชื่อเสียงในด้านความรอบรู้ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในภาษาหลายภาษาและในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นสูงหลายวิชา ซึ่งทรงรอบรู้ผิดไปจากคนในหมู่ชาติตะวันออก มาก ซึ่งก็ได้แพร่สะพัดถึงสหรัฐด้วยทรงทราบชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนด้วย

การสวรรคต หลังจากพระราชพิธีบวรราชาภิเษกแล้ว พระองค์ก็เริ่มทรงพระประชวรบ่อยครั้ง หาสมุฏฐานของพระโรคไม่ได้ จนกระทั่งประชวรด้วยวัณโรคและเสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 2 แรม 6 ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่ง ตรงกับวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 สิริพระชนมายุ 58 พรรษา ทรงอยู่ในบวรราชสมบัติทั้งสิ้น 15 ปี มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบวรศพเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2409 โดยมีการจัดการแห่พระเมรุมาศพระบวรศพเช่นเดียวกับพระศพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ แต่เพิ่มเติมพระเกียรติยศพิเศษขึ้นหลายประการตามพระยศที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้น ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยังทรงพระเยาว์ มีพระชนมายุเพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเสนอพระองค์เจ้ายอดยิ่งเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็นเพียงแค่ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เท่านั้น ก่อนที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์สุดท้าย

พระราชกรณียกิจด้านการทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในวิชาการด้านจักรกลมาก และเพราะเหตุที่พระองค์โปรดการทหาร จึงทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นพิเศษ เท่าที่ค้นพบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์นั้น ก็มักจะทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร และเป็นเครื่องแบบทหารเรือด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีการบันทึกพระราชประวัติในส่วนที่ทรงสร้างหรือวางแผนงานเกี่ยวกับกิจการทหารใด ๆ ไว้บ้างเลย แม้ในพระราชพงศาวดาร หรือในจดหมายเหตุต่าง ๆ ก็ไม่มีการบันทึกผลงานพระราชประวัติในส่วนนี้ไว้เลย และแม้พระองค์เองก็ไม่โปรดการบันทึก ไม่มีพระราชหัตถเลขา หรือมีแต่ไม่มีใครเอาใจใส่ทอดทิ้ง หรือทำลายก็ไม่อาจทราบได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีงานเด่นที่มีหลักฐานทั้งของฝรั่งและไทย กล่าวไว้ แม้จะน้อยนิดแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการริเริ่มที่ล้ำหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ผลงานนั้นคือการทหารเรือของไทยเรานั้น เริ่มมีเค้าเปลี่ยนจากสมัยโบราณเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญ ในกิจการด้านทหารเรือในสมัยนั้น คือ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และ จมื่นไวยวรนาถ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)) ด้วยทั้ง 2 ท่านนี้มีความรู้ในวิชาการต่อเรือในสมัยนั้น เป็นอย่างดี จึงได้รับหน้าที่ปกครอง บังคับบัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น ต่อมาได้แบ่งหน้าที่กันโดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงบังคับบัญชาทหารเรือวังหน้า ส่วนทหารเรือบ้านสมเด็จอยู่ในปกครองบังคับบัญชาของสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์ ในยามปกติทั้ง 2 ฝ่าย นี้ ไม่ขึ้นแก่กันแต่ขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงฝึกฝนทหารของพระองค์ โดยใช้ทั้งความรู้และความสามารถ และ ยังทรงมุ่งพระราชหฤทัยในเรื่อง การค้าขายให้มีกำไร สู่แผ่นดินด้วยมิใช่สร้าง แต่เรือรบเพราะได้ทรงสร้างเรือเดินทะเล เพื่อการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงนำเอาวิทยาการ สมัยใหม่ของยุโรป มาใช้ฝึกทหารให้มีสมรรถภาพเป็นอย่างดี ทรงให้ร้อยเอก โทมัส น็อกส์ (Thomas George Knox) เป็นครูฝึกทหารวังหน้า ทำให้ทหารไทยได้รับวิทยาการอันทันสมัยตามแบบ ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป การฝึกหัดใช้คำบอกทหารเป็น ภาษาอังกฤษทั้งหมดเริ่มมีเรือรบกลไฟ เป็นครั้งแรก ชื่อเรืออาสาวดีรส3 และเรือยงยศอโยชฌิยา4 (หรือยงยศอโยธยา) ซึ่งเมื่อครั้งเรือยงยศอโยชฌิยา ได้เดินทางไปราชการที่สิงคโปร์ ก็ได้รับคำชมเชยจากต่างประเทศเป็นอันมาก ว่าพระองค์มี พระปรีชาสามารถทรงต่อเรือได้ และการเดินทางในครั้งนั้นเท่ากับเป็นการไปอวดธงไทยในต่างประเทศ ธงไทยได้ถูกชัก ขึ้นคู่กับธงอังกฤษ ที่ฟอร์ทแคนนิ่งด้วย และแม้พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ก็โปรด ฯ ให้เป็นทหารเรือเช่นกัน ประวัติของเรือที่พระองค์ทรงมีใช้ในสมัยนั้น ตามที่พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ ได้รายงานเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติทหารเรือไทย มีดังนี้

  • เรือพุทธอำนาจ (Fairy) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Barque) ขนาด 200 ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ 10 กระบอก เรือลำนี้เป็น ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน ใช้เป็นเรือพระที่นั่งของแม่ทัพ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ยกกองทัพไปรบกับญวน ตีเมืองบันทายมาศ (ฮาเตียน)
  • เรือราชฤทธิ์ (Sir Walter Scott) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือแบบเดียวกันกับพุทธอำนาจ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน
  • เรืออุดมเดช (Lion) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2384 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Bark) ขนาด 300 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ได้ใช้ไปราชการทัพรบกับญวน พ.ศ. 2387 ได้นำสมณทูตไปลังกา
  • เรือเวทชงัด (Tiger) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2386 เป็นเรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 200 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ
  • เรือพุทธสิงหาศน์ (Cruizer) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2398 เป็นเรือชนิดชิพ ขนาด 400 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ
  • เรือมงคลราชปักษี (Falcon) ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2400 เดิมเป็นเรือของชาวอเมริกัน ชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 100 ตัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงซื้อมา แล้วดัดแปลงใช้เป็นเรือรบ เรือพระที่นั่งของพระองค์

เกียรติประวัติของการทหารเรือไทยสมควรจะต้องยกถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์เป็น ผู้ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการทหารเรือในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อปรากฏว่ามีเรือรบต่างประเทศเข้ามาเยี่ยม ประเทศไทยคราวใดพระองค์ก็มักหาโอกาสเสด็จไปเยี่ยมเยียนเรือรบเหล่านั้นเสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบว่าเรือรบต่าง ประเทศเขาตกแต่งและจัดระเบียบเรือกันอย่างไร แล้วนำมาเป็นแบบอย่างให้กับเรือรบของไทยในเวลาต่อมา จากพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำ ในเรื่องเรือสมัยใหม่ ซึ่งผู้คนในสมัยนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเหล็กจะลอยน้ำได้แต่พระองค์ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้ปรากฏ ทรงต่อเรือรบ กลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน ทรงแตกฉานเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อ กับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีพระสหาย และพระอาจารย์ เป็นชาว อเมริกันเสียเป็นส่วนมากทรงหมกมุ่นกับกิจการทหารเรือมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็น ผู้บัญชาการ ทหารเรือ พระองค์แรก และควรถวายพระนามว่า ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า สมควรได้รับการถวายพระเกียรติยศขั้นสูงสุด จากชาวกองทัพเรือ ตั้งแต่นี้และตลอดไป


แหล่งอ้างอิง

  • https://th.wikipedia.org

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

⇑ บุคคลสำคัญ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อ นายไหฮอง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อนางนกเอี้ยง (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพามาตย์) ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับจวนเจ้าพระยาจักรีที่สมุหนายก เมื่อยังทรงพระเยาว์เจ้าพระยาจักรีได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยง เป็นบุตรบุญธรรม และได้ตั้งชื่อพระองค์ท่านว่า สิน พออายุได้ 9 ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำนายสินเข้าถวายตัวรับราชการ เป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตามประเพณีของการรับราชการในสมัยนั้น ในระหว่างรับราชการเป็นมหาดเล็ก นายสินได้พยายามศึกษาหาความรู้ทางด้านภาษาต่างประเทศหลายภาษา มีภาษาจีน ภาษาญวน และภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษา ครั้นอายุได้ 21 ปี เจ้าพระยาจักรีได้ประกอบการอุปสมบทนายสินเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส นายสินอุปสมบทอยู่ 3 พรรษา แล้วก็ลาสิกขาบทกลับมาเข้ารับราชการตามเดิม เนื่องจากนายสินเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียมราชกิจต่าง ๆ โดยมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายสินเป็นมหาดเล็กรายงาน ด้วยราชการทั้งหลายในกรมมหาดไทย และกรมวังศาลหลวง พ.ศ. 2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ 3 เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงาน เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน พ.ศ. 2308 พระยาตาก (สิน) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงคราม เพื่อป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกันพระนครอย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร แทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน พระยาตากก็สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ แล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้ว เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมากยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้ และประกอบกับรี้พลของเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมืองใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี เจ้าตากทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม 4 ค่ำ จุลศักราช 1130 ปีชวด ตรงกับวันที่ 28 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2311 ขณะมีพระชนมายุได้ 34 พรรษา ทรงนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนานพระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดากับสมเด็จพระอัครมเหษี กรมหลวงบาทบริจา และกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ รวมทั้งพระสนมต่าง ๆ รวมทั้งสิน 29 พระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 5 แรม 9 ค่ำ จ.ศ. 1144 ปีขาล ตรงกับวันที่ 6 เมษายน 2325 พระชนมายุ 48 พรรษา รวมสิริราชสมบัติ 15 ปี


ประวัติด้านการสงคราม

แหวกวงล้อมออกจากกรุงศรีฯ ขณะที่พระยาตากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม แต่ก็ยังมิได้ไปครองเมืองกำแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึกในการป้องกันพระนคร เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจจะสู้รบ ดังนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และพรรคพวก รวม 500 คน ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 4 ค่ำ ปีจอ พ.ศ. 2309 ตรงกับวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309 ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้น ที่บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการ (สิน) ได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจำนวนมาก แล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) หาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ 30 ม้า พลเดินเท้าประมาณ 2,000 คน ยกทัพมาจากบางคาง แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ (สิน) กับทหารอีก 4 คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารม้าพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไปถึงพลเดินเท้า พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารของพระยาวชิรปราการ (สิน) เป็นอย่างมาก พวกราษฏรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิตติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่าต่างก็มาขอเข้าเป็นพวก และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้า นายซ่องต่าง ๆ มาเป็นพวก ขุนชำนาญไพรสนฑ์ และนายกองช้างเมืองนครนายก มีจิตสวามิภักดิ์ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะแล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำเจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันทั้งทัพบกทัพเรือไปรอดักพระยาวชิรปราการ (สิน) อยู่ ณ ที่นั้น และตามทัพพระยาวชิรปราการ (สิน) ทันกันที่ชายทุ่ง พระยาวชิรปราการ (สิน) เห็นว่าจะต่อสู้กับข้าศึก ซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชัยชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นกำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้ หมายเฉพาะทางที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา แล้วพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็นำทหารประมาณ 100 คนเศษ คอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีไปทางช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวน ก็ถูกพระยาวชิรปราการ (สิน) นำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก นับตั้งแต่นั้นมาทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) อีกต่อไป เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บ้านนาเกลือ เขตเมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้นจนมีรี้พลเป็นกองทัพ จากนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยาระยองชื่อบุญ เห็นกำลังพลของพระยาวชิรปราการมีจำนวนมากมายที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมาต้อนรับ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง ขณะนั้นมีพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่าย ในคืนวันที่สองที่หยุดพัก แต่พระยาวชิรปราการ (สิน) รู้ตัวก่อน จึงได้ดับไฟในค่ายเสียและมิให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบ รอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็สั่งยิงปืนไปยังพวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี พระยาวชิรปราการ (สิน) คุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น การที่พระยาวชิรปราการ (สิน) เข้าตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ และให้เรียกคำสั่งว่า พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก พวกบริวารจึงเรียกว่า เจ้าตาก ตั้งแต่นั้นมา

เข้าตีเมืองจันทบุรี เมื่อเจ้าตากตั้งตัวเป็นอิสระ ที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่า ที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์ ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นยิ่งกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย จึงแต่งทูต ให้ถือศุภอักษรไปชักชวนพระยาจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก ในครั้งแรกได้ตอบรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตาก แต่เกรงจะถูกชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ ครั้นถึงเดือน 5 ปีกุน พ.ศ. 2310 ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 แล้ว ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่พระยาจันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก ส่วนขุนรามหมื่นซ่อง กรมการเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองแกลง ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะของเจ้าตาก เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี นายทองอยู่นกเล็กตั้งตัวเป็นใหญ่ ผู้ใดจะเข้ากับเจ้าตาก นายทองอยู่นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทองอยู่นกเล็กเกลี้ยกล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี แล้วก็เลิกทัพกลับ ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่งหน้าคงจะชนะยาก ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก จึงคิดกลอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรี โดยนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรีอยู่นั้นได้มีผู้มาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน เจ้าตากจึงให้เลี้ยวกระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือ บริเวณวัดแก้ว ห่างประตูท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ 5 เส้น แล้วเชิญพระยาจันทบุรีออกมาหาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน เจ้าตากได้ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าแม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทาง เพราะไม่มีเสบียงอาหาร เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้ และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่งนายทัพนายกองว่า “เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือ และต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว” ครั้นได้ฤกษ์เวลา 3 นาฬิกา เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวโดยเจ้าตากขี่ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้ ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีพาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ เมื่อเจ้าตากจัดเมืองจันทบุรีเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพบกทัพเรือลงไปเมืองตราด พวกกรมการเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภาที่จอดอยู่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่ยอมอ่อนน้อม เจ้าตากได้ยกทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ ทั้งหมดในครึ่งวัน และสามารถยึดทรัพย์สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้ากู้เอกราช เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝนพอดี จึงยกกองทัพกลับเมืองจันทบุรี เพื่อตระเตรียมกำลังคน สะสมเสบียงอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ และต่อเรือรบได้ถึง 100 ลำ รวบรวมกำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนไทยจีน ประมาณ 5,000 คนเศษ กับมีข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน และที่สำคัญก็คือ หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก นายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก

แม่ทัพเรือกู้ชาติ พอถึงเดือน 11 พ.ศ.2310 หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช ระหว่างทางได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี ซึ่งประพฤติตัวเยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า ชำระได้ความเป็นสัตย์จริง จึงให้ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย แล้วยกทัพเรือเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือน 12 กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก มีนายทองอินคนไทยที่พม่าให้รักษาเมืองอยู่ พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามา ทางปากน้ำเจ้าพระยา ก็ให้คนรีบขึ้นไปบอกข่าวแก่สุกี้พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น แล้วเรียกระดมพลขึ้นรักษาป้อมวิชเยนทร์ และหน้าแท่นเชิงเทิน ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึง รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรี กลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นกองทัพเรือของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรีได้ เจ้าตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือไปตีกรุงศรีอยุธยา สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว ก็ส่งมองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยกกองทัพเรือไปสกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำสืบทราบว่า มีกองทัพข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยกมานั้นเป็นคนไทยด้วยกัน ก็คิดจะหลบหนีบ้าง จะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้างมองญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้ เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น จึงรีบหนีกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น เจ้าตากทราบจากพวกคนไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า พม่าถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว ก็รีบยกกองทัพขึ้นไป ตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น 2 ค่าย พร้อมกันในตอนเช้า สู้รบกันจนเที่ยง เจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้ สุกี้ตายในที่รบ จึงถือว่า เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว หลังจากที่ไทยต้องสูญเสียเอกราชในครั้งนี้เพียง 7 เดือน ภายหลังที่พระเจ้าตากมีชัยชนะกับพม่าแล้ว ทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นผู้สร้างวีรกรรมกอบกู้แผ่นดิน ศาสนา ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของปวงชนที่สิ้นหวังให้รวมพลังเป็นปึกแผ่น สามารถปกป้องรักษาราชอาณาจักรไทยไว้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้ คณะรัฐมนตรีจึงให้ความเห็นชอบตามคำเรียกร้องของประชาชน ให้ถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ” เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524

เส้นทางเดินทัพทางบกและทางเรือ

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th
  • http://jas.aru.ac.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2522

⇑ บุคคลสำคัญ⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2522
(นักเรียนนายเรือรุ่น 77, เตรียมทหารรุ่น 20)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.เศวตนันท์ประยูรรัตน์กล.
2นนร.นิพรสุขเกษตรนว.
3นนร.พิษณุสัญญฑิตย์นว.
4นนร.วิรุฬปั่นโภชากล.
5นนร.วุฒิพงศ์พงศ์สุวรรณนว.
6นนร.มนตรีจึงมั่นคงนว.
7นนร.พงศกรกุวานนท์นว.
8นนร.สุขสวัสดิ์สบายใจนว.
9นนร.ไชยนันท์นันทวิทย์นว.
10นนร.วศินสรรพ์จันทวรินทร์นว.
11นนร.กตัญญูศรีตังนันท์อศ.
12นนร.วีระยุทธวงศ์เทิดธรรมนว.
13นนร.วรวัฒน์สุขชัยกล.
14นนร.บรรจง(รัชฐ์ชัย)จันทร์ส่งเสริมกล.
15นนร.วินัยมณีพฤกษ์อศ.
16นนร.ภาวิช(กันต์พิพัฒน์)เทพกาญจนานว.
17นนร.ทวีทองประยูรกล.
18นนร.มงคลประยูรศุขนย.
19นนร.สมประสงค์นิลสมัยนว.
20นนร.นพรัตน์ถัดทะพงษ์นว.
21นนร.วิชยุทธจงพยุหะกล.
22นนร.ทศพลผลดีนย.
23นนร.เอกสารสาสกล.
24นนร.ลือชัยศรีเอี่ยมกูลนว.
25นนร.วรพลทองปรีชานว.
26นนร.สถาพรยิ้มแย้มสุขกล.
27นนร.สิทธิพรมาศเกษมนว.
28นนร.เอกอรรถศิลปาจารย์นย.
29นนร.บัณฑิตย์จันทโรจวงศ์นว.
30นนร.สุพจน์ภู่ระหงษ์นว.
31นนร.ปัญญาคลังแก้วกล.
32นนร.ไพบูลย์เปาโรหิตย์นย.
33นนร.สุรภักดิ์ธาราจันทร์นว.
34นนร.ชนินทร์ผดุงเกียรตินว.
35นนร.วราณัติวรรธนผลกล.
36นนร.พงษ์ศักดิ์จุลกาญจน์นว.
37นนร.อวิหิงส์จันทสิงห์กล.
38นนร.ภูมิพันธ์นิลกำแหงนย.
39นนร.เจริญพลคุ้มราษีนว.
40นนร.พงศชาญเพ็ชรเทศนว.
41นนร.เชษฐาใจเปี่ยมนว.
42นนร.คารพแหลมคมนว.
43นนร.บวรมัทวานุกูลนว.
44นนร.ปรีชาสมสุขเจริญอศ.
45นนร.พีระศักดิ์ศิลปกิจพธ.
46นนร.พิมลภู่เจริญนย.
47นนร.ชาติชายศรีวรขานนว.
48นนร.นรินทรการสมลาภนย.
49นนร.ดำรงค์(พีระ)อดุลยาศักดิ์นว.
50นนร.วุฒิศาสตร์ชวนะกล.
51นนร.ตนัยสุวรรณกนิษฐ์
52นนร.ศิริชัยเนยทองอศ.
53นนร.สุทธิชาติเข็มอนุสุขกล.
54นนร.ประมุขอินทรประเสริฐนย.
55นนร.สมชายณ บางช้างนว.
56นนร.รณรงค์สิทธินันทน์นย.
57นนร.ไกรศรีเกษรนว.
58นนร.สุรพงษ์พรหมแพทย์นย.
59นนร.มนฉานบุญญภัทโรกล.
60นนร.บัณฑิตวงษ์ทองดีพธ.
61นนร.กฤษณ์ศรีสัมฤทธิ์กล.
62นนร.เสนีย์มัชฌิมวงศ์นว.
63นนร.จักรกฤชมะลิขาวอศ.
64นนร.ยรรยงค์ปิ่นวิถีนย.
65นนร.ปริญญามีลักษณะพธ.
66นนร.อภิสิทธิ์สุนทรเรขานย.
67นนร.อาณัติวุทธิฉายนย.
68นนร.เอกสิทธิ์รอดอยู่กล.
69นนร.เนตรสัจจวาณิชย์กล.
70นนร.พิชิตวาดวารีนย.
71นนร.กวีองคะศิลป์กล.
72นนร.อนุชาติอินทรเสนนว.
73นนร.พัชรพงค์สุขอร่ามกล.
74นนร.ประพาฬพงศ์โภชนสมบูรณ์นว.
75นนร.เลิศศักดิ์พันธุ์พยัคฆ์พธ.
76นนร.วสันต์หรั่งรวมมิตร์กล.
77นนร.ก่อเกียรติปั้นดีนว.
78นนร.วิรัตน์(กิตติโชติ)วังแก้วหิรัญพธ.
79นนร.วิโรจน์เหลือวงศ์
80นนร.ไชยวุฒินาวิกาญจนะอศ.
81นนร.กิตติศักดิ์บุณย์เพิ่มพธ.
82นนร.จรัญกุลปราการพธ.
83นนร.รัฐเดชจุลวุฒิ
84นนร.โกเมศสะอาดเอี่ยมนย.
85นนร.เอนกอันสุขสันต์นย.
86นนร.วิจิตรพันธุรังษีพธ.
87นนร.คมสันเปรมกมลนย.
88นนร.ธนวัฒน์เหลืองทองคำพธ.
89นนร.สกลโตจำเริญนว.
90นนร.อัชฌบูรณ์เซ็นพานิชนว.
91นนร.คณบดีศิริเรืองพธ.
92นนร.สันติบุญนุชพธ.
93นนร.วศินบุญเนืองนว.
94นนร.อาคมภู่สุวรรณ์นย.
95นนร.ทรงพลศรีสำอางนว.
96นนร.ไพรัตน์พิกุลขาวพธ.
97นนร.วรงกรณ์โอสถานนท์นว.
98นนร.วีระพงษ์กองจันทร์ดี(ศรัณยูเศรษฐ์)กล.
99นนร.สาโรชพึ่งพานิชย์นย.
100นนร.สกลสิริปทุมรัตน์กล.
101นนร.สุทธิพงษ์อนันตชัยนย.
102นนร.ไพชยนต์จักรกลมนว.
103นนร.วัชรพงษ์ศศิธรนย.
104นนร.กิตติคุณนาคสุกนย.
105นนร.นภดล(อรรณพ)ยอดโตมรนย.
106นนร.พิสิษฐ์ทองดีเลิศนว.
107นนร.วรภพสภานนท์พธ.
108นนร.ภานพเนตรายนพธ.
109นนร.อภิชัยคล้ายแก้วนว.
110นนร.อุชลิตนิงสานนท์นย.
111นนร.ดิศรศักดิ์สมบูรณ์นย.
112นนร.อธิชัย(พิทักษ์พล)ยุวนะศิริ
113นนร.สายัณห์ไอยรารัตน์นย.
114นนร.วาสเทพแพทยานนท์พธ.
115นนร.วราห์แทนขำนว.
116นนร.มนัสวีบูรณพงศ์นว.
117นนร.ศราวุธกิ่งมณีพธ.
118นนร.สถาพรเทียนถาวร
119นนร.กิตติแนบเกษร
120นนร.จิรศักดิ์เมืองวัฒน์นย.
121นนร.พัลลภงามบุญกล.
122นนร.มานิตโกสีย์กล.
123นนร.สุชาติ(อุทัย)โสฬศกล.
124นนร.ชวาลย์เพ็ญพานิชตร.
125นนร.ดนัยผงทองตร.
126นนร.ถาวรถินถาวรตร.
127นนร.สหภูมิสง่าเมืองตร.
128นนร.สุวิทย์สาลีผลตร.
129นนร.ชาติชายชาติเวชตร.
130นนร.ธวัชชัยไทรกระจ่างตร.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2462

⇑ บุคคลสำคัญ⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2462
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 21)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.ใบเทศนะสดับนว.
2นนร.พูนพลกุลนว.
3นนร.ถวัลย์(ธำรง)ธารีสวัสดิ์(นาวาสวัสดิ์)นว.
4นนร.พรเดชดำรงนว.
5นนร.จำนงค์เฟื่องธุระนว.
6นนร.ชวนนิลายนนว.
7นนร.ชลิตกุลกำม์ธรนว.
8นนร.บุญถินกันตลอดนว.
9นนร.ชลอฉลอมสินธุ์นว.
10นนร.จำเริญขันธหิรัญนว.
11นนร.นอมสุภัทรพันธุ์นว.
12นนร.จำเดิมอันวะนาวินนว.
13นนร.ทองหล่อบูรณสิงห์นว.
14นนร.สงวนอิศรางกูร ณ อยุธยานว.
15นนร.ชอบบุญโญปถัมภ์นว.
16นนร.ทองพูนชูสง่านว.
17นนร.เล็กลีละยูวะนว.
18นนร.ประเสริฐสุขสมัยนว.
19นนร.จรูญบุนนาคนว.
20นนร.บุญพึ่งสุคันธไรนว.
21นนร.สมบุญกระบวนรัตน์นว.
22นนร.จิบศิริไพบูลย์นว.
23นนร.เชื้อณ นครนว.
24นนร.ทวีศักดิ์วิริยะศิรินว.
25นนร.สนองธนศักดิ์นว.
26นนร.วิจิตชนไมตรีนว.
27นนร.นูนมิลินทานุชนว.
28นนร.ห้วยสุขเม่งเชียงกุลนว.
29นนร.หล่ออติแพทย์นว.
30นนร.สืบคังคะรัตน์นว.
31นนร.สินบูราภานว.
32นนร.โสภณกุญชร ณ กรุงเทพนว.
33นนร.ยิ้มลิ้มถนอมนว.
34นนร.ประยงค์(ยงยุทธ)อาชวาคมนว.
35นนร.แชนปัจจุสานนท์นว.
36นนร.ทัศน์กรานเลิศนว.
37นนร.สวัสดิ์จันทนีนว.
38นนร.วิทยาวิริยะพานิชนว.
39นนร.แนบรื่นใจชนนว.
40นนร.พยูนจีนาคมนว.
41นนร.วิเชียรอัตนโถนว.
42นนร.จูมาลัยวงค์นว.
43นนร.สุนทรช่วยวงศ์วาน(สุนทรนาวิน)นว.
44นนร.สมบุญคงตระกูลนว.
45นนร.ตรีวิภาตนาวินนว.
46นนร.สงวนปาบุตรนว.
47นนร.พิงกำเนิดรัตน์นว.
48นนร.แสวงรักชูวันนว.
49นนร.ทองอยู่(ทแกล้ว)สว่างเนตรนว.
50นนร.เขียนศิริวิตรนว.
51นนร.กวงแรงขำนว.
52นนร.ฮังรีตรูวิเชียรนว.
53นนร.ดาวเรือง(ดาว)เพชรชาตินว.
54นนร.สนิธมหาคีตะนว.
55นนร.สำอางสรรพสมานนว.
56นนร.บุญมีแสงสุวรรณนว.
57นนร.กุหลาบกาญจน์สกุลนว.
58นนร.ผันเปรมมณีนว.
59นนร.ซุ้ย(กนก)นพคุณนว.
60นนร.อาจอินทรนว.
61นนร.เชื้อยุวนะศิรินว.
62นนร.แดงสายสิงห์ทองนว.
63นนร.เจริญรุ่งชมคำนว.
64นนร.พจน์อินทรฑูตนว.
65นนร.นิตย์ช่วงบรรยงนว.
66นนร.ประเสริฐสุเสารัจนว.
67นนร.พริ้งคล้ายมุขนว.
68นนร.บรรจงชีพเป็นสุขนว.
69นนร.ทองหล่อนิงสานนท์นว.
70นนร.จำรัสนุตพันธุ์นว.
71นนร.ช่วงเรืองกลกล.
72นนร.บุญชูจูฑะศรีกล.
73นนร.สงบจรูญพรกล.
74นนร.จำลองสุวรรณอัทธ์กล.
75นนร.เชื่อมเวศสวัสดิ์กล.
76นนร.ทองคำก๊ำเจริญกล.
77นนร.ประสบอรรถยุติกล.
78นนร.นพรัตน์สมิตานนท์กล.
79นนร.ชลวิทย์แย้มลัดดากล.
80นนร.เขียนเกตุไนยกล.
81นนร.สมบุญประทีปวนิชกล.
82นนร.บำรุงแสงงำพาลกล.
83นนร.ดรุณณ ถลางกล.
84นนร.กมลอัมพุบนกล.
85นนร.ชิตพิทักษากรกล.
86นนร.เสถียรศรีจามรกล.
87นนร.เชิดพูลสุนทรกล.
88นนร.สถิตแสงอินทร์กล.
89นนร.แฉล้ม(ชด)มัธยมจันทร์กล.
90นนร.โสภณทิมกระจ่างกล.
91นนร.ทิพย์ประสานสุขกล.
92นนร.สุมทุมธรรมรักษากล.
93นนร.ศิริรุจิไกไสยกล.
94นนร.บุญช่วย(ประสันน์)บุณยมาลิกกล.
95นนร.พุกดิษยพันธุ์กล.
96นนร.ประยูรพินสวัสดิ์กล.
97นนร.บุญเรืองผูกพานิชกล.
98นนร.ขาวไชยพันธุ์กล.
99นนร.บุญธรรมรัตนารักษ์กล.
100นนร.อุ๊ดนุชเนตรกล.
101นนร.ผวนศรีเพ็ชร์กล.
102นนร.จำรัสเจริญลาภกล.
103นนร.บุญรอดคงอ่อนกล.
104นนร.จำรัสศุกรวันกล.
105นนร.วงศ์ศิริเกตุกล.
106นนร.บัวขาวคชแสงกล.
107นนร.ศิริภูมมะภูติกล.
108นนร.กวีห้าวเจริญกล.
109นนร.ศรีดาวรายกล.
110นนร.ชาญศิริวัฒกุลกล.
111นนร.เย็นสุขประเสริฐกล.
112นนร.เชื้อปานไวกล.
113นนร.ศิริฤกษ์สวัสดิ์กล.
114นนร.โชติอันประยูรกล.
115นนร.ผิวมีคุณเอี่ยมกล.
116นนร.สุขโพธิวิหคกล.
117นนร.แฉล้มหาสตะนันทน์กล.
118นนร.เอี้ยว(ประพันธ์)เกษเสถียรกล.
119นนร.บุญเหลือธันวานนท์กล.
120นนร.ฮกหยูหนูกิจกล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2461

⇑ บุคคลสำคัญ⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2461
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 20)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.บุญเปรื่องกีระนันทน์นว.
2นนร.เผื่อนพัฒนหิรัญนว.
3นนร.มงคลศิริเวทินนว.
4นนร.ช่วงเสถียรสวัสดิ์นว.
5นนร.ชั้นรัศมิทัตนว.
6นนร.จำรัสบูรณสมภพนว.
7นนร.ปุกณ บางช้างนว.
8นนร.เพี้ยนหุตะโชคนว.
9นนร.ชมน้อมศิรินว.
10นนร.ทองพูนชื่นสุวรรณนว.
11นนร.หนูแจ่มผลนว.
12นนร.ฉลองอติแพทย์นว.
13นนร.เลื่อนโฆษวันทนว.
14นนร.จำรัสลัดพลีนว.
15นนร.เย็นรื่นวงษานว.
16นนร.โปร่งนายเรือนว.
17นนร.ล้อมศรีพยัตต์นว.
18นนร.สังวรณ์สุวรรณชีพนว.
19นนร.ประดิษฐ์ศรีพิพัฒน์นว.
20นนร.อี๊ดแจ่มใจเพื่อนนว.
21นนร.วิเชียรรัตนกุลนว.
22นนร.เทียนไชยกีระนันทน์นว.
23นนร.ไชยเหมจุฑานว.
24นนร.ค้อมเอี่ยมโอภาสนว.
25นนร.ทองหล่อขำหิรัญนว.
26นนร.เสนาะรักธรรมนว.
27นนร.ผลทับโพนว.
28นนร.ชั้นสิงหชาญนว.
29นนร.เอื้อนกุลไกรเวสนว.
30นนร.หนุนวสุวัตนว.
31นนร.ทองดีระงับภัยนว.
32นนร.ผิวจันทร์สว่างนว.
33นนร.ทองคำภุมรินทร์นว.
34นนร.เสงี่ยมพึ่งบุญ ณ กรุงเทพนว.
35นนร.วิเชียรชุ่มวิจิตรนว.
36นนร.ช้อยทรัพย์สารนว.
37นนร.ชุมวีระไวทยะนว.
38นนร.วิรุถคุงคะเกตุนว.
39นนร.ล้วนหวังในธรรมนว.
40นนร.เปรื้องศิริคุ้มนว.
41นนร.เส็งทิพย์นำภานว.
42นนร.สงวน(วิจารณ์)เทศะกรณ์นว.
43นนร.กิ่งจันทนกูลนว.
44นนร.อำพันภมรบุตรนว.
45นนร.สุดใจสุทิโนนว.
46นนร.ทองหล่อเดชะปัญญานว.
47นนร.สินนคราวัฒน์กล.
48นนร.ทองสุขต้นสมบุญกล.
49นนร.ผลแสงประยูรกล.
50นนร.โอภาสเนตรายนกล.
51นนร.เขียวนัยนานนท์กล.
52นนร.เลื่อมสายเนตร(ประสาทกลวิทยา)กล.
53นนร.ผันจันทโรจน์กล.
54นนร.หนานอนัมกุลกล.
55นนร.ชิตสุนทรกลัมภ์กล.
56นนร.ฉอุ่มรัตนเรืองกล.
57นนร.วิเชียรรุขามาศกล.
58นนร.ประดิษฐ์พูลเกษกล.
59นนร.ทองคำธรรมเกษมกล.
60นนร.ชูเลี่ยมรักกล.
61นนร.สอนสุขเหมือนกล.
62นนร.สุยสุทธยาลัยกล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2459

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2459
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 19)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.ทองเจือนว.
2นนร.กรีภูมิไชยนว.
3นนร.เชื้อศรวารีนว.
4นนร.พร้อมวีระพันธุ์นว.
5นนร.บัวชื่นภิรมย์นว.
6นนร.ทองสุขจันทนประยูรนว.
7นนร.ถมยาเอี่ยมวิจิตรนว.
8นนร.สุคนธ์จันทศิรินว.
9นนร.เจ๊กนว.
10นนร.เอี่ยมบุณยสิทธิ์นว.
11นนร.แช่มเปล่งวิทยานว.
12นนร.เสริมนว.
13นนร.เชื้อนว.
14นนร.สว่างวรทรัพย์นว.
15นนร.สมบูรณ์ดินอุดมนว.
16นนร.จิตรสารภัยวานิชนว.
17นนร.โชติสวัสดิโรจน์นว.
18นนร.ชลอสีม่วงนว.
19นนร.จำรัสนว.
20นนร.เป้าโกมลเสวินนว.
21นนร.สุวรรณชุวะเสมานว.
22นนร.ถมนว.
23นนร.เปล่ง(พลสินธ์)เมฆเสน(สมิตเมฆ)นว.
24นนร.สินธุ์กมลนาวินนว.
25นนร.เชี้ยนกรสูตรนว.
26นนร.บุญช่วยยงศิรินว.
27นนร.ผันอำไพวัลย์(นาวาวิจิต)นว.
28นนร.สุ่นกุลชาตินว.
29นนร.เจือสุรภัฎกล.
30นนร.หลำกล.
31นนร.เขียนสุเสารัจกล.
32นนร.ม.ล.ศิรินรินทรางกูร ณ กรุงเทพกล.
33นนร.อำพันเจิมศรีกล.
34นนร.สุเอ็ดเล็กสุภาพกล.
35นนร.เปลื้องกล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2458

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2458
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 18)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.เริ่มจารุเหตุนว.
2นนร.โอตป์โรจนวิภาตนว.
3นนร.ฟุ้งบุรุษชาตินว.
4นนร.เชื่อมสุนทรนาคนว.
5นนร.คล้อยศาสตริน(สวัสดินาวา)นว.
6นนร.จวนทังสุบุตรนว.
7นนร.เจิมทังสุบุตรนว.
8นนร.ชาญบุนนาคนว.
9นนร.ล้อมภุชงคสมุทรนว.
10นนร.จิตรศราภัยวานิชนว.
11นนร.ถนำบุญเกตุนว.
12นนร.ชิตกล.
13นนร.แถบกฤษณ์โลมกล.
14นนร.อ๊อด(อุดม)ธรรมครองอาตม์กล.
15นนร.เฉลิมนาลินชมกล.
16นนร.โชติสุสิลวรณ์กล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

บุคคลสำคัญใน ทร.

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑