Category: Uncategorized

ประวัติกองทัพเรือ

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

พิธีพยุหยาตราทางชลมารค สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

กองทัพเรือ มีกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กองทัพไทยในสมัยนั้น มีเพียงทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่นในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพไปทางบก ก็เรียกว่า “ทัพบก” หากยาตราทัพไปทางเรือ ก็เรียกว่า “ทัพเรือ” การจัดระเบียบการปกครองบังคับบัญชา กองทัพไทยในยามปกติสมัยนั้น ยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ในยามศึกสงครามได้ใช้ทหาร “ทัพบก” และ”ทัพเรือ” รวม ๆ กันไป ในการยาตราทัพเพื่อทำศึกสงคราม ภายในอาณาจักร หรือ นอกอาณาจักรก็มีความจำเป็น ต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจากจะสามารถลำเลียงเสบียงอาหารได้คราวละมาก ๆ แล้ว ยังสามารถลำเลียงอาวุธหนัก ๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวกและรวดเร็วกว่าทางบกด้วย จึงนิยมยกทัพไปทางเรือจนสุดทางน้ำแล้วจึงยกทัพต่อไปบนทางบก เรือรบที่เป็นพาหนะของกองทัพไทยสมัยโบราณ มี 2 ประเภทด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำและเรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐานจากลักษณะที่ตั้งของราชธานี ซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบและมีแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางในการคมนาคม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องใช้น้ำ ในการบริโภคและการเกษตรกรรมแล้ว เรือรบในแม่น้ำคงมีมาก่อนเรือรบในทะเล เพราะสงครามของไทยในระยะแรก ๆ จะเป็นการทำสงครามในพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย กล่าวคือเป็นการทำสงครามกับพม่า เป็นส่วนมาก


เรือรบในแม่น้ำ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. 2076 – 2089) ทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยคืนจากพม่า ใน พ.ศ. 2081 ต่อจากนั้นไทยก็ได้ทำศึกสงครามกับพม่ามาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำในสมัยนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะใช้ทำศึกสงครามมากกว่าเรือรบในทางทะเล เรือรบในแม่น้ำเริ่มต้นมาจากเรือพายเรือแจวก่อน เท่าที่พบหลักฐานไทยได้ใช้เรือรบประเภทเรือแซ เป็นเรือรบในแม่น้ำเพื่อใช้ในการลำเลียงทหารและเสบียงอาหารมาช้านาน โดยใช้พาย 20 พาย เป็นกำลังขับเคลื่อน ให้เรือแล่นไป

รูปศีรษะสัตว์ประกอบเรือรบ

ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2091 – พ.ศ. 2111) ได้ทำศึกสงครามกับพม่าหลายครั้ง พระองค์ทรงคิดดัดแปลง เรือแซเป็นเรือไชยเพื่อใช้ในการลำเลียงทหารได้มากขึ้น เนื่องจากเรือแซที่ใช้เป็นพาหนะมาแต่เดิม ลำเลียงทหารและเสบียงอาหารได้น้อย จึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นพาหนะในการทำสงคราม ในครั้งนั้นจึงได้มีการเปลี่ยน หน้าที่ของเรือแซโดยใช้เป็นพาหนะในการลำเลียงเสบียงอาหารและเครื่องศาสตราวุธ สำหรับเรือไชยที่ทรงดัดแปลงใหม่นั้นเป็นเรือที่มีลักษณะลำเรือยาวใช้ฝีพายประมาณ 60 – 70 คน แล่นได้รวดเร็วกว่าเรือแซ ปรากฏว่าในคราวที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้นำปืนใหญ่ไปติดตั้งที่เรือไชยออกแล่นยิงค่ายพม่าจนพม่าต้องถอยทัพกลับไป ในเวลาเดียวกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงคิดสร้าง เรือรบรูปศีรษะสัตว์เพื่อใช้ทำสงครามขึ้นอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะเช่นเดียวกับเรือไชยโดยทำหัวเรือให้กว้างขึ้นเพื่อให้สามารถติดตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือได้ ต่อมายังได้มีการคิดสร้างเรือรบในแม่น้ำขึ้นอีกประเภทหนึ่ง คือ เรือกราบ แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใดสร้างขึ้น เรือกราบที่คิดสร้างขึ้นใหม่นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับเรือไชยแต่แล่นได้รวดเร็วกว่าเรือไชย

เรือรบในทะเล สำหรับเรือรบในทะเล ในสมัยแรกยังไม่มีบทบาทสำคัญในการเป็นพาหนะเท่าเรือรบในแม่น้ำ เนื่องจากลักษณะที่ตั้งตัวราชธานี อยู่ไกลจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็นในการใช้เรือจึงมีน้อยกว่าในยามปกติ ก็นำเอาเรือที่ใช้ในทะเลมาเป็นพาหนะในการบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายยังหัวเมืองชายทะเลต่าง ๆ และประเทศข้างเคียง ครั้นเมื่อบ้านเมืองมีศึกสงคราม ก็นำเรือเหล่านี้มาติดอาวุธปืนใหญ่เพื่อใช้ทำสงคราม แต่ครั้งโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่มใช้เรือรบในทะเลในการทำศึกสงครามบ้างแล้ว เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองทวาย เมื่อ พ.ศ. 2135 และในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ. 2384 เป็นต้น ส่วนเรือรบในทะเลจะมีเรือประเภทใดบ้างยังไม่อาจทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเรือใบหลายประเภทด้วยกัน ถ้าเป็นเรือขนาดใหญ่ส่วนมากจะเป็นเรือสำเภาแบบจีน เรือกำปั่นแปลง แต่ถ้าเป็นเรือขนาดย่อมลงมาจะเป็นเรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และ เรือแบบแขก เป็นต้น

เรือกำปั่นไฟสมัยรัชกาลที่ 3

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ราชธานีตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น จึงทำให้มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศในยุโรป เรือรบในทะเลของไทย แต่เดิมซึ่งนิยมสร้างเรือแบบสำเภาจีน เริ่มเปลี่ยนแปลงหันมานิยมสร้างเรือกำปั่นใบแบบยุโรปมากขึ้น เนื่องจากเรือกำปั่นใบแบบยุโรปสามารถสร้างให้มีขนาดใหญ่ มีใบรับลมมากกว่าเรือสำเภาจีน ทำให้สามารถบังคับเรือ ได้ง่ายและแล่นได้เร็วกว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เกรงว่าต่อไปอนุชนรุ่นหลังจะไม่รู้จักเรือสำเภาจีนที่เคยมีความสำคัญมาในอดีต จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือสำเภาจีนไว้ที่วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เรือรบในทะเลได้พัฒนาจากเรือสำเภาจีนมาใช้เรือกำปั่นแบบใช้ใบแล้ว ต่อมาเมื่อได้มีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นในยุโรป และได้เริ่มนำมาใช้กับเรือ เรือรบในทะเลของไทยก็ได้เปลี่ยน การขับเคลื่อนเรือจากใช้ใบมาเป็นเรือแบบเรือกลไฟ ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเริ่มจากเรือใช้จักรข้างก่อน แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้จักรท้ายได้พัฒนาการขับเคลื่อนของเรือจากเครื่องจักรไอน้ำ มาเป็นเครื่องยนต์ดีเซล จากเครื่องยนต์ดีเซลก็พัฒนามาใช้เครื่องยนต์แบบเทอร์ไบน์ผสมแก๊สและไอน้ำมาถึงปัจจุบัน ส่วนตัวเรือแต่ก่อนใช้ไม้สร้างก็เปลี่ยนมาสร้างด้วยเหล็กเช่นกัน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทหารเรือมีอยู่ 2 แห่งคือ ทหารเรือวังหน้าขึ้นอยู่ในความปกครองบังคับบัญชาของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งหนึ่ง กับทหารมะรีนสำหรับเรือรบขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหม อีกแห่งหนึ่ง ในสมัยต้นของรัชกาลที่ 5 การปกครองประเทศยังเป็นระบบจตุสดมภ์อยู่ มีกรมพระกลาโหมว่าการฝ่ายทหาร ในขณะนั้นกิจการ ฝ่ายทหารเรือแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนหนึ่งขึ้นในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมเรียกว่า กรมอรสุมพล อีกส่วนหนึ่งขึ้นในบังคับบัญชาของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เรียกว่า ทหารเรือฝ่ายพระราชวังบวร หรือทหารเรือวังหน้า กรมอรสุมพลมีหน่วยขึ้นในสังกัดคือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ทหารเรือวังหน้า มีหน่วยขึ้นในสังกัดคือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล บางทีเรียกว่ากองกะลาสี ใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัวได้เสด็จกลับจากการเสด็จประพาสอินเดีย ได้ทรงปรับปรุงหน่วยทหารในกองทัพขึ้นใหม่ โดยแบ่ง ออกเป็น 9 หน่วย ดังนี้ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง กรมทหารหน้า กรมทหารปืนใหญ่ กรมทหารช่าง กรมทหารฝีพาย กรมทหารเรือพระที่นั่ง (เวสาตรี) กรมอรสุมพล

กรมทหารเรือ ใน พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) เสด็จทิวงคต ทหารฝ่ายพระราชวังบวรทั้งทหารบก และทหารเรือได้ถูกยุบเลิกไป จึงทำให้ทหารเรือในขณะนั้น มี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ กรมเรือพระที่นั่ง ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพลขึ้นตรงกับสมุหพระกลาโหม ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั่วไปในกรมทหาร (Commander in chief) ตามโบราณราชประเพณี พร้อมกับประกาศจัดการทหาร เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 โดยจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้นในประกาศนี้ ให้รวมบรรดากองทหารบก กองทหารเรือทั้งหมดขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่ในระหว่างที่ยังทรงพระเยาว์ให้มีผู้ทำการแทนผู้บังคับบัญชาทั่วไป โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นผู้แทนบังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหาร และให้รั้งตำแหน่งเจ้าพนักงานใหญ่ผู้จัดการในกรมทหาร สำหรับทหารเรือทรงตั้งนายพลเรือโทพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์เป็นเจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ (Secretary to the Navy) มีหน้าที่ ดังนี้

  1. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อบังคับทหารรเรือ
  2. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนผู้คนในทหารเรือ
  3. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกหัดทหารเรือ
  4. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับเรือรบหลวง
  5. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับพาหนะทางเรือ

ต่อมาใน พ.ศ. 2433 ได้มีการยกเลิกประกาศจัดการทหารที่จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2430 นั้นเสีย และได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2433 ขึ้นแทน พระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการฉบับใหม่นี้ให้เรียกกรมยุทธนาธิการเสียใหม่ว่า กระทรวงยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) มีหน้าที่บังคับบัญชาราชการทหารและพลเรือนที่เกี่ยวข้องแก่การทหารบก ทหารเรือ ตามพระราชบัญญัติใหม่นี้ให้ยกเลิกตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหารเรือ และตั้งตำแหน่งใหม่ เรียกว่า จอมพล (จอมทัพ) (Commander in chief) สำหรับบังคับบัญชาราชการในกรมทหารบก กรมทหารเรือ โดยสิทธิ์ขาดโดยพระราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ดำรงตำแหน่งที่จอมพลนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีตำแหน่งทรงปฏิบัติในหน้าที่จอมพลด้วยเหมือนกัน กรมที่บังคับบัญชาทหารแบ่งออก เป็น 2 กรม คือ กรมทหารบก กรมทหารเรือ ในครั้งนี้ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงยุทธนาธิการ พระยาสุรศักดิ์มนตรีเป็น ผู้บัญชาการทหารบก นายพลโทพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ (พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (Chief Staff of the Navy) สำหรับกรมทหารเรือแบ่งส่วนราชการ ออกเป็น

  1. กรมกลาง
  2. กองบัญชีเงิน
  3. กรมคลังพัสดุทหารเรือ
  4. กองเร่งชำระ
  5. กรมคุกทหารเรือ
  6. กรมอู่
  7. กรมช่างกล
  8. โรงพยาบาลทหารเรือ
  9. ทหารนาวิกโยธิน
  10. เรือรบหลวงและเรือพระที่นั่งประจำการ
พระราชวังเดิม

กองทัพเรือ ใน พ.ศ. 2435 ได้มีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหม่ และยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์ กำหนดให้มีกระทรวง ในราชการ ทั้งหมด 12 กระทรวง กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ปกครองบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร กระทรวงกลาโหมไม่ต้องเกี่ยวกับการปกครองทางหัวเมืองอย่างแต่ก่อน คงมีหน้าที่เกี่ยวด้วย ราชการทหารอย่างเดียว ใน พ.ศ. 2435 นี้ จึงได้โอนกรมทหารเรือซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับกระทรวงยุทธนาธิการมาขึ้นกับกระทรวงกลาโหม กรมทหารเรือได้เจริญก้าวหน้ามาตามลำดับ จนถึง พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม และในวันเดียวกันนั้น ก็ได้ประกาศแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เนื่องจากการป้องกันประเทศเป็นงานใหญ่ที่ทหารบกและทหารเรือจำเป็นต้องร่วมกันคิดอ่านจัดการตามหน้าที่ ที่ประชุมเสนาบดีจึงเห็นสมควรจัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักรขึ้นเพื่อทำหน้าที่ประสานงาน ระหว่างทหารบกและทหารเรือให้ดำเนินไปได้โดยสอดคล้องร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง สภานี้มีองค์พระประมุขเป็นประธานและโปรดเกล้าฯ ให้เสนาธิการทหารบกเป็นเลขานุการประจำเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ พร้อมทั้งจอมพลในและนอกประจำการเป็นสมาชิกสภาแห่งนี้ทุกนาย นับตั้งแต่มีการเลื่อนฐานะกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ ก็ได้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการทหารเรือ อยู่เสมอแต่มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากหลักการเดิม เพียงแต่ว่าส่วนราชการต่างๆ มีความจำเป็นต้องขยายกิจการให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เมื่อราชการบางส่วนมีกิจการเพิ่มขึ้นก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกรมหรือกอง ตามความสำคัญ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ภาวะทางเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำเป็นผลทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบดังกล่าวนี้ด้วย ทำให้ฐานะทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ อยู่ในภาวะตกต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาตัดทอนรายจ่ายของประเทศให้น้อยลง ให้สมดุลกับรายได้เป็นผลทำให้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการเสียใหม่ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 โดยทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้รวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบกเป็นกระทรวงเดียวกันเสีย กระทรวงที่บังคับบัญชาทั้งทหารบกและทหารเรือร่วมกันนี้ เรียกว่า กระทรวงกลาโหมเหมือนอย่าง แต่ครั้งก่อน ใน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศใหม่ ทางด้านกองทัพเรือก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดยกระทรวงทหารเรือได้ลดฐานะเป็นกรมทหารเรือในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศนี้ ได้จัดให้มีคณะกรรมการกลางกลาโหมขึ้น นอกจากนั้นส่วนราชการของทหารเรือบางส่วนซึ่งได้เอาไปรวมกับฝ่ายทหารบก ก็กลับมาสังกัดอยู่ใน กรมทหารเรือตามเดิมอีก กรมต่าง ๆ ของทหารเรือลดฐานะมาเป็นกองทั้งหมด เว้นแต่กรมเสนาธิการทหารเรือ จนกระทั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อกรมทหารเรือเป็น กองทัพเรือ


แหล่งอ้างอิง

  • https://www3.navy.mi.th

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

⇑ รายนามผู้บัญชาการทหารเรือ

⇑ บุคคลสำคัญ

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เจ้าจอมมารดาโหมด (ธิดาเจ้าพระยาสุยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ หรือ วร บุนนาค) ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์” ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา 2 พระองค์คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา และ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์ เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาภาษาไทยกับพระยาอิศรพันธุ์ โสภณ (ม.ร.ว.หนู อิศรางกูร) และทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับ Mr.Morant ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ จากนั้นทรงเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบจนพระชนมายุได้ 13 พรรษา ต่อมาในปี พ.ศ. 2436 ได้ทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ โดยเสด็จฯ ไปพร้อมกับ สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) การศึกษาในระยะแรกนั้น ทรงศึกษาวิชาการขั้นต้น เช่นเดียวกันกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ แต่ต่อมาได้ทรงแยกไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ซึ่งเป็นพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่า กิจการทหารเรือของไทยในสมัยนั้นยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ต้องอาศัยชาวต่างประเทศมาเป็นครูและควบคุม ทำให้ไม่มีความมั่นคงมากนัก หากเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับชาวต่างชาติที่มาล่าเมืองขึ้น ดังเช่นเมื่อคราวฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย ในปี ร.ศ. 112 หรือ พ.ศ. 2436 จะเป็นเรื่องวุ่นวายมาก จึงทรงปรารถนาที่จะให้พระราชโอรสสักพระองค์หนึ่ง ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ เพื่อนำมาปรับปรุงกิจการทหารเรือของสยาม ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ โดยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ได้ทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ อยู่ในประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลานานถึง 6 ปี จนสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรสูงสุดของโรงเรียนนายเรืออังกฤษ แล้วเสด็จกลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2443 เมื่อเสด็จกลับถึงเมืองไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสู่ขอ หม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ พระธิดาใน สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์ วรเดช ให้เสด็จในกรมฯ และได้ทรงมีพิธีอภิเษกสมรส ในปีเดียวกันนั่นเอง

พระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดารวม 9 พระองค์ คือ

  1. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา
  2. พลอากาศโท หม่อมเจ้า รังสิยากร อาภากร
  3. หม่อมเจ้าหญิงจารุพัตรา
  4. หม่อมเจ้าหญิงศิริมาบังอร
  5. เรือเอก หม่อมเจ้าสมรบันเทิง อาภากร
  6. หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตแจรง
  7. พันเอก หม่อมเจ้าคำแดงฤทธิ์ อาภากร
  8. พลเรือเอก หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร
  9. หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร

หลังกลับจากประเทศอังกฤษแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงเข้ารับราชการครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2443 โดยทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการเรือรบหลวง มูรธาวสิตสวัสดิ์ ได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท ซึ่งเทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน และมี พลตรี กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2444 ทรงได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น นายเรือเอก ซึ่งเทียบเท่านาวาเอกในปัจจุบัน จากนั้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน ในปีเดียวกัน ก็ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ทรงได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น นายพลเรือตรี พร้อมกับได้รับสถาปนาพระอิสริยยศ เป็นกรมหมื่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2449 ก็ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งในสมัยนี้เอง ที่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไข และวางหลักสูตรในโรงเรียนนายเรือขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกับผู้ที่สำเร็จจากโรงเรียนนายเรือในต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาทหารเรือขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ มีจอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และในวันที่ 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิบดีกระทรวงทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง นอกเหนือจากตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2463 พระองค์ทรงได้รับการเลื่อนยศเป็น พลเรือเอก และในวันที่ 11 พฤศจิกายนปีเดียวกัน ก็ทรงได้รับการสถาปนา พระอิสริยยศ จากกรมหมื่นเป็นกรมหลวง เป็นยศและพระอิสริยยศครั้งสุดท้าย ในระหว่างที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสูงในราชการทหารเรือนั้น

เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเรือทั่วไป เพราะไม่ทรงถือพระองค์ ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทหารเรือทั้งหลายอย่างใกล้ชิด ทรงปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาแบบบิดาปกครองบุตร ไม่ปกครองแบบเจ้ากับข้า หรือนายกับบ่าวเลย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นที่รักของเหล่าลูกประดู่ทุกคน จนกระทั่งพากันเรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” กันโดยทั่วไป พระราชภารกิจอีกสิ่งหนึ่งของพระองค์ ที่เป็นที่สรรเสริญยกย่องกันทั่วไปก็คือ การทรงนำเรือรบหลวงพระร่วง เดินทางจากอังกฤษมาสู่ประเทศไทยโดยปลอดภัย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของราชนาวีไทย ที่คนไทยล้วน สามารถนำเรือเดินทางข้ามทวีปได้เอง เรือรบหลวงพระร่วง เป็นเรือที่ประชาชนชาวไทย ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อซื้อเรือรบมาไว้ป้องกันประเทศ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 8 หมื่นบาท และมีพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้าประชาชน ร่วมบริจาคเงินซื้อเรือรบเป็นอันมาก จนได้เงินถึง 3,514,604 บาท ในปี พ.ศ. 2463 เสด็จในกรมฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้ออกไปหาซื้อเรือรบยังทวีปยุโรป พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทรงเลือกซื้อเรือรบที่ประเทศอังกฤษ และทรงเลือกซื้อเรือเรเดียนต์ ซึ่งเป็นเรือชนิดพิฆาตตอร์ปิโด เมื่อทรงซื้อเรือและตรวจรับเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงนำเรือรบลำนี้ เดินทางจากอังกฤษมาสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการเรื่อยมา จนกระทั่งทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับ ต่อมาปรากฏว่าสุขภาพของพระองค์ไม่สู้ดีนัก เพราะทรงตรากตรำงานหนักมาตลอด จนเมื่อทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้เพียง 49 วัน ก็ทรงถวายบังคมลาออก เพื่อไปทรงพักผ่อน ณ บ้านใต้ ปากน้ำชุมพร ซึ่งพระองค์ตั้งพระทัยว่าจะเสด็จไปทำสวน ณ ตำบลชายทะเลแห่งนั้น ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก พระองค์เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2466 และประทับอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก็ทรงประชวรด้วยไข้หวัดใหญ่ เพียง 3 วันเท่านั้น ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 รวมพระชนมายุได้เพียง 44 พรรษา

เสด็จในกรมฯ ทรงสนพระทัยใน กีฬามวย และกระบี่กระบอง รวมทั้งกีฬาแล่นใบ ก็นับว่าทรงโปรดมากที่สุด ในด้านการดนตรี ทรงมีความสามารถชำนาญในดนตรีดีดสีตีเป่า ทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล การขับร้องเพลงไทยนั้น ทรงนิพนธ์บทเพลงขึ้นเองหลายเพลง โดยเฉพาะบทเพลงที่ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับวิชาทหารเรือนั้น มีสาระสำคัญในการปลุกใจให้เข้มแข็ง ส่งเสริมกำลังใจให้มีความรักทั้ง ชาติ หน้าที่ เกียรติ วินัย หมู่คณะ และให้เกิดความมุมานะ กล้าตายไม่เสียดายชีวิตในยามศึก ได้แก่ เพลงดอกประดู่ เพลงดาบของชาติ และเพลงเดินหน้า นอกจากนี้ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จากตำราไทย โดยได้ทรงเขียนตำราสมุดข่อย ซึ่งกล่าวกันว่า ปัจจุบัน ตำรายานี้ได้เคยเก็บรักษาอยู่ ณ ศาลกรมหลวงชุมพร นางเลิ้ง และมีอักษรเขียน เป็นภาษาบาลีว่า “กยิราเจ กยิราเถนํ” พระองค์ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จนชำนิชำนาญ และรับรักษาโรค ให้ประชาชนพลเมืองทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นที่เลื่องลือว่า มีหมออภินิหารรักษาความป่วยไข้ได้เจ็บ ได้อย่างหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อผู้คนพากันรู้ว่า เจ้าพ่อรักษาโรคได้ฉมังนัก จึงทำให้ร่ำลือ และแตกตื่นกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง แต่ไม่ทรงให้ใครเรียกพระองค์ว่า เสด็จในกรมฯ หรือยกย่อง เป็นเจ้านาย แต่ทรงเรียกพระองค์เองว่า “หมอพร” เมื่อมีประชาชน มาหาพระองค์ให้รักษา ก็ทรงต้อนรับ ด้วยไมตรีจิต และรักษาให้เป็นการฟรี ไม่คิดค่ารักษา แต่ประการใด นอกจากจะเชิญไปรักษาตามบ้าน ซึ่งเจ้าของไข้จะต้องหารถรา ให้พระองค์เสด็จไป และนำเสด็จกลับ โดยมากเป็นรถม้าเท่านั้น


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th
  • https://th.wikipedia.org

ทาสีแดงภายในเรือรบสมัยโบราณ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

มีคนเป็นจำนวนมากมักประหลาดใจและสงสัยว่า เหตุใดในเรือรบในสมัยโบราณที่ทำด้วยไม้ เช่น Constitution จึงได้ทาสีแดงไว้ข้างใน สำหรับเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องนี้ มีที่มาสืบเนื่องมาจาก เรือรบต้องมีการต่อสู้กันจนเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียเลือดเสียเนื้อกันขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการพลางตา ไม่ให้ทหารเห็นเลือดของทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ถนัด จนทำให้เกิดการเสียขวัญ จึงได้ทำการทาสีแดงเพื่อเป็นการพลางสายตานั่นเอง

ในปัจจุบันนี้ ยังพบว่าท้องเรือของรบบางลำ ก็ยังมีปรากฏทาสีแดงกันอยู่ เช่นเดียวกัน



แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียม ประเพณีทหารเรือ

เรือน้ำตาล แก้เผ็ดฝรั่งเศส

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (เอกสารภาษาอังกฤษเรียกว่า Franco-Siamese War หรือ “สงครามฝรั่งเศส – สยาม”) เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศสในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2436 จากการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาวในปัจจุบัน) ผู้มีบทบาทสำคัญในวิกฤตการณ์ครั้งนี้คือนายโอกุสต์ ปาวี รองกงสุลฝรั่งเศสประจำนครหลวงพระบาง ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในการแสวงหาผลประโยชน์ของฝ่ายฝรั่งเศสในดินแดนลาว โดยใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของสยามที่ไม่สามารถดูแลหัวเมืองชายแดนได้ทั่วถึง การก่อกบฏในเวียดนามที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ การปราบฮ่อซึ่งแตกพ่ายจากเหตุการณ์กบฏไท่ผิงในจีน และการทวีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่กรุงปารีส ผลของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้ฝ่ายไทยจำต้องยอมยกดินแดนลาวฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส นับเป็นการขยายอิทธิพลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของฝรั่งเศสในภูมิภาคอินโดจีน และนำไปสู่การสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยในเขมรและลาวที่เหลืออยู่ในเวลาต่อมาอีกด้วย


จากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างบาดแผลและเจ็บแค้นในอกประชาชนคนไทย โดยเฉพาะ พลเรือเอกพระบรมวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ “เสด็จเตี่ย” โดยหนึ่งในเครื่องเตือนใจให้นึกถึงสิ่งที่ฝรั่งเศสทำต่อเรา นั่นคือ “เรือน้ำตาล” เป็นเรือที่ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2449 มีคำว่าธนบุรี ร.ศ. 112 ที่หัวเรือ เรือน้ำตาลตั้งไว้บนบกให้ได้เห็นทุกวันเป็นการเตือนใจให้หาทาง แก้เผ็ด และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่น ร.ศ.112 เกิดขึ้นอีก

เสด็จเตี่ยทรงใช้ชื่อว่า “เรือน้ำตาล” เพราะน้ำตาล แก้รสเผ็ดได้ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเรือที่ลอยน้ำไม่ได้ (เช่นเดียวกับน้ำตาล) ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์แล้ว “เรือน้ำตาล” ลำนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้นักเรียนนายเรือฝึกหมุนเรือเพื่อหา ดิวิเอชั่นและการสอดแท่งแม่เหล็กแก้อัตราผิดของเข็มทิศ อีกด้วย ปัจจุบัน เรือน้ำตาลอยู่ที่โรงเรียนนายเรือ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


แหล่งอ้างอิง

  • http://www.tnews.co.th

การตั้งชื่อเรือ

ขนบธรรมเนียม ประเพณี ทหารเรือ

การตั้งชื่อเรือ เดิมนิยมตั้งตามชื่อตัวสำคัญในนิยายที่เก่งกล้าสามารถ ไม่มีใครสู้ได้ ต่อมานิยมตั้งชื่อตามเมืองหลวงเก่า เมืองสำคัญ ตำบลที่สำคัญชายทะเลหรือพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน และบุคคลที่มีคุณแก่ชาติ ในปัจจุบันการตั้งชื่อเรือรบไทย ปฏิบัติตามระเบียบกองทัพเรือว่าด้วย การแบ่งชั้นเรือ หมู่เรือ และการตั้งชื่อเรือหลวง พ.ศ.2527 คือ


  • เรือพิฆาต ตั้งตามชื่อตัว
  • เรือฟรีเกต ตั้งตามชื่อแม่น้ำสายสำคัญ
  • เรือคอวร์เวต ตั้งตามชื่อเมืองหลวง หรือเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์
  • เรือเร็วโจมตี
    • เรือเร็วโจมตี (อาวุธนำวิถี) ตั้งตามชื่อเรือรบในทะเลสมัยโบราณที่มีความหมายเหมาะสมแก่หน้าที่ของเรือนั้น ๆ
    • เรือเร็วโจมตี (ปืน) เรือเร็วโจมตี (ตอร์ปิโด) ตั้งตามชื่อจังหวัดชายทะเล
  • เรือดำน้ำ ตั้งตามชื่อผู้มีอิทธิพลในนิยายหรือวรรณคดี เกี่ยวกับการดำน้ำ
  • เรือทุ่นระเบิด ตั้งตามชื่อสมรภูมิที่สำคัญ
  • เรือยกพลขึ้นบก เรือลำเลียง เรือลากจูง ตั้งตามชื่อเกาะ
  • เรือตรวจการณ์
    • เรือตรวจการณ์ปืน ตั้งตามชื่ออำเภอชายทะเล
    • เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ ตั้งตามชื่อเรือรบในลำน้ำสมัยโบราณที่มีความเหมาะสมแก่หน้าที่ของเรือนั้น ๆ
  • เรือสำรวจ ตั้งตามชื่อดาวที่สำคัญ
  • เรือหน้าที่พิเศษ ตั้งชื่อด้วยถ้อยคำที่มีความหมายเหมาะสมแก่หน้าที่ของเรือนั้น ๆ

แหล่งอ้างอิง

  • หนังสือ ขนบธรรมเนียม ประเพณีทหารเรือ

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ

⇑ บุคคลสำคัญ

รายนามผู้บัญชาการทหารเรือ

⇑ บุคคลสำคัญ

เมื่อ พ.ศ. 2394 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) กิจการทหารเรือเริ่มแบ่งออกอย่างชัดเจน เป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหลวง (ทหารมะรีนสำหรับเรือรบ) ขึ้นตรงกับ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหม และทหารเรือวังหน้า ขึ้นตรงกับ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทหารเรือวังหน้ามีหน่วยในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล (บางทีเรียกว่ากองกะลาสี) ส่วนกรมอรสุมพลมีหน่วยในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ซึ่งทหารทั้งสองส่วนนี้จะไม่ขึ้นต่อกัน


ดังนั้น จึงนับได้ว่า กองทัพเรือได้เริ่มมีผู้นำในการบริหารงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถเรียงลำดับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ ดังต่อไปนี้

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า
พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2408
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง
พ.ศ. 2394 – พ.ศ. 2412
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า
พ.ศ. 2408 – พ.ศ. 2428
เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์
ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง
พ.ศ. 2412 – พ.ศ. 2430
พลเรือโท พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์

เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
8 เม.ย. 2430 – 14 เม.ย. 2433
พลเรือโท พระวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นปราบปรปักษ์

ผู้บัญชาการทหารเรือ
15 เม.ย. 2433 – 25 มี.ค. 2441
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
27 มี.ค. 2441 – 31 ส.ค. 2442
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม

รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
2 ก.ย. 2442 – 15 ม.ค. 2443
พลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์
(Andre du Plessis de Richelieu)

ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
16 ม.ค. 2443 – 29 ม.ค. 2444
จอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลา
บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช

รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
29 ม.ค. 2444 – 16 ก.พ. 2445
ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
17 ก.พ. 2445 – 24 ก.พ. 2446
ผู้กำกับราชการกระทรวงทหารเรือ
19 มิ.ย. 2463 – 31 ส.ค. 2465
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
24 ก.พ. 2446 – 10 ธ.ค. 2453
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
11 ธ.ค. 2453 – 18 มิ.ย. 2463
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ทำการแทนเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
13 ต.ค. 2465 – 31 มี.ค. 2466
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
1 เม.ย. 2466 – 19 พ.ค. 2466
พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ
กรมหลวงนครราชสีมา

ผู้กำกับราชการกระทรวงทหารเรือ
1 ก.ค. 2466 – 8 ก.พ. 2467
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร

เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
13 ก.พ. 2467 – 7 พ.ย. 2474
พลเรือตรี พระยาปรีชาชลยุทธ
ผู้บัญชาการทหารเรือ
6 ก.ค. 2475 – 4 ส.ค. 2476
นาวาเอก พระยาวิชิตชลธี
ผู้บัญชาการทหารเรือ
5 ส.ค. 2476 – 15 ธ.ค. 2476
พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน
รักษาราชการ ผู้บัญชาการทหารเรือ
11 ม.ค. 2476 – 1 พ.ค. 2477
ผู้บัญชาการทหารเรือ
24 ต.ค. 2481 – 1 ก.ค. 2494
พลเรือตรี พระยาวิจารณ์จักรกิจ
รักษาราชการ ผู้บัญชาการทหารเรือ
2 พ.ค. 2477 – 9 พ.ค. 2481
ผู้บัญชาการทหารเรือ
10 พ.ค. 2481 – 23 ต.ค. 2481
พลเรือเอก หลวงพลสินธวาณัติก์
2 ก.ค. 2494 – 30 พ.ย. 2494
จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล
1 ธ.ค. 2494 – 19 ก.ย. 2500
พลเรือเอก หลวงชำนาญอรรถยุทธ์
19 ก.ย. 2500 – 30 ก.ย. 2505
พลเรือเอก สวัสดิ์ ภูติอนันต์
1 ต.ค. 2505 – 30 ก.ย. 2507
พลเรือเอก หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร
1 ต.ค. 2507 – 20 ก.พ. 2509
พลเรือเอก จรูญ เฉลิมเตียรณ
7 เม.ย. 2509 – 30 ก.ย. 2514
พลเรือเอก ถวิล รายนานนท์
1 ต.ค. 2514 – 30 ก.ย. 2515
พลเรือเอก กมล สีตกะลิน
1 ต.ค. 2515 – 30 ก.ย. 2516
พลเรือเอก เฉิดชาย ถมยา
1 ต.ค. 2516 – 18 พ.ย. 2516
พลเรือเอก สงัด ชลออยู่
19 พ.ย. 2516 – 30 ก.ย. 2519
พลเรือเอก อมร ศิริกายะ
1 ต.ค. 2519 – 30 ก.ย. 2521
พลเรือเอก กวี สิงหะ
1 ต.ค. 2521 – 30 ก.ย. 2523
พลเรือเอก สมุทร์ สหนาวิน
1 ต.ค. 2523 – 30 ก.ย. 2524
พลเรือเอก สมบูรณ์ เชื้อพิบูลย์
1 ต.ค. 2524 – 30 ก.ย. 2526
พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
1 ต.ค. 2526 – 30 ก.ย. 2527
พลเรือเอก นิพนธ์ ศิริธร
1 ต.ค. 2527 – 30 ก.ย. 2529
พลเรือเอก ธาดา ดิษฐบรรจง
1 ต.ค. 2529 – 30 ก.ย. 2530
พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์
1 ต.ค. 2530 – 30 ก.ย. 2534
พลเรือเอก วิเชษฐ การุณยวนิช
1 ต.ค. 2534 – 30 ก.ย. 2536
พลเรือเอก ประเจตน์ ศิริเดช
1 ต.ค. 2536 – 30 ก.ย. 2539
พลเรือเอก วิจิตร ชำนาญการณ์
1 ต.ค. 2539 – 30 ก.ย. 2540
พลเรือเอก สุวัชชัย เกษมศุข
1 ต.ค. 2540 – 30 ก.ย. 2541
พลเรือเอก ธีระ ห้าวเจริญ
1 ต.ค. 2541 – 30 ก.ย. 2543
พลเรือเอก ประเสริฐ บุญทรง
1 ต.ค. 2543 – 30 ก.ย. 2545
พลเรือเอก ทวีศักดิ์ โสมาภา
1 ต.ค. 2545 – 30 ก.ย. 2546
พลเรือเอก ชุมพล ปัจจุสานนท์
1 ต.ค. 2546 – 30 ก.ย. 2547
พลเรือเอก สามภพ อัมระปาล
1 ต.ค. 2547 – 30 ก.ย. 2548
พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์
1 ต.ค. 2548 – 30 ก.ย. 2551
พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ
1 ต.ค. 2551 – 30 ก.ย. 2554
พลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์
1 ต.ค. 2554 – 30 ก.ย. 2556
พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย
1 ต.ค. 2556 – 30 ก.ย. 2557
พลเรือเอก ไกรสร จันทร์สุวานิชย์
1 ต.ค. 2557 – 30 ก.ย. 2558
พลเรือเอก ณะ อารีนิจ
1 ต.ค. 2558 – 30 ก.ย. 2560
พลเรือเอก นริส ประทุมสุวรรณ
1 ต.ค. 2560 – 30 ก.ย. 2561
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์
1 ต.ค. 2561 – 30 ก.ย. 2563
พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน
1 ต.ค.2563 – 30 ก.ย.2564
พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย
1 ต.ค.2564 – 30 ก.ย.2565
พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์
1 ต.ค.2565 – 30 ก.ย.2566
พลเรือเอก อะดุง พันธ์ุเอี่ยม
1 ต.ค.2566 – ปัจจุบัน

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navy.mi.th
  • https://th.wikipedia.org

คำย่อของเรือใน ทร.

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

กองทัพเรือได้ออกระเบียบว่าด้วยการแบ่งประเภทของเรือหลวง พ.ศ. 2555 และได้ยกเลิกระเบียบกองทัพเรือว่าด้วยการแบ่งประเภทของเรือหลวง พ.ศ. 2541 โดยได้ให้ความหมายและคำย่อของเรือใน ทร. ไว้ดังนี้


เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
Helicopter Carrier
เรือ บฮ.
CVH
เรือพิฆาต
Destroyer
เรือ พฆ.
DD
เรือฟริเกต
Frigate
เรือ ฟก.
FF
เรือคอร์เวต
Corvette
เรือ คว.
FS
เรือเร็วโจมตีเรือ รจ.
เรือเร็วโจมตี(อาวุธนำวิธี)
Fast Attack Craft, Guided Missile
เรือ รจอ.
FAC (G)
เรือเร็วโจมตี(ปืน)
Fast Attack Craft
เรือ รจป.
FAC
เรือเร็วโจมตี(ตอร์ปิโด)
Fast Attack Craft, Torpedo
เรือ รจต.
FAC (T)
เรือดำน้ำ(ธรรมดา)
Submarine
เรือ ด.
SS
เรือดำน้ำเล็ก
Midget Submarine
เรือ ดล.
SSM
เรือทุ่นระเบิดเรือ ทบ.
เรือต่อต้านทุ่นระเบิด
Mine Countermeasure Ship
เรือ ตท.
MCM
เรือกวาดทุ่นระเบิด
Minesweeper
เรือ กท.
MS
เรือกวาดทุ่นระเบิดไกลฝั่ง
Minesweeper, Ocean
เรือ กทก.
MSO
เรือกวาดทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
Minesweeper, Coastal
เรือ กทฝ.
MSC
เรือกวาดทุ่นระเบิดชายฝั่ง
Minesweeper, Inshore
เรือ กทช.
MSI
เรือกวาดทุ่นระเบิดน้ำตื้น
Moter Launch Minesweeper/
Minesweeping Boat
เรือ กทต.
MLMS/MSB
เรือล่าทำลายทุ่นระเบิด
Minehunter
เรือ ลท.
MH
เรือล่าทำลายทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
Minehunter, Coastal
เรือ ลทฝ.
MHC
เรือล่าทำลายทุ่นระเบิดชายฝั่ง
Minehunter, Inshore
เรือ ลทช.
MHI
เรือวางทุ่นระเบิด
Minelayer
เรือ วท.
ML
เรือวางทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
Minelayer, Coastal
เรือ วทฝ.
MLC
เรือวางทุ่นระเบิดชายฝั่ง
Minelayer, Inshore
เรือ วทช.
MLI
เรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด
Mine Countermeasures Support
เรือ สตท.
MCS
เรือยกพลขึ้นบกเรือ ยพ.
เรือบัญชาการและสนับสนุนการยกพล
Amphibious Command and Support Ship
เรือ บยพ.
LCC
เรือยกพลอู่ลอย
Amphibious transport, Dock
เรือ ยพอ.
LPD
เรือยกพลขนาดใหญ่
Landing Ship, Tank
เรือ ยพญ.
LST
เรือยกพลขนาดกลาง
Landing Ship, Medium
เรือ ยพก.
LSM
เรือยกพลขนาดเล็ก
Landing Ship,Infantry, Large
เรือ ยพล.
LSIL
เรือระบายพลขนาดใหญ่
Landing Craft, Utility
เรือ รพญ.
LCU
เรือระบายพลขนาดกลาง
Landing Craft, Mechanical
เรือ รพก.
LCM
เรือสนับสนุนการยกพล
Landing Ship Support Large
เรือ สยพ.
LSSL
เรือตรวจการณ์เรือ ตก.
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
Offshore Patrol Vessel
เรือ ตกก.
OPV
เรือตรวจการณ์(ปืน)
Patrol Craft
เรือ ตกป.
PG
เรือตรวจการณ์(ปราบเรือดำน้ำ)
Patrol Craft, Antisubmarine
เรือ ตกด.
PC
เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง
Coastal Patrol Craft
เรือ ตกฝ.
PGM
เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง
Inshore Patrol Craft
เรือ ตกช.
PCF
เรือปฏิบัติการลำน้ำเรือ ปล.
เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำ
River Patrol Boat
เรือ รตล.
PBR
เรือจู่โจมลำน้ำ
Assault Boat
เรือ จล.
AB
เรือปฏิบัติการพิเศษเรือ ปพ.
เรือระบายพลขนาดเล็ก
Landing Craft Vehicle Personnel
เรือ รพล.
LCVP
เรือปฏิบัติงานยุทธการนักทำลายใต้น้ำจู่โจม
Navy SEAL Operation Craft
เรือ รยจ.
NSOC
เรือโจมตีลาดตระเวน
Assault Patrol Craft
เรือ รจว.
APC
เรือประมง
Supporting Special Operation Craft
เรือ รปม.
SSOC
เรือปฏิบัติการความเร็วสูง
High Speed Operation Craft
เรือ รปส.
HOC
เรือส่งกำลังบำรุงเรือ สก.
เรือส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่
Replenishment Ship, Large
เรือ สกญ.
AOR(H)
เรือส่งกำลังบำรุงขนาดกลาง
Replenishment Ship, Medium
เรือ สกก.
AOR(L)
เรือน้ำมัน
Fuel Barge/ Fuel Barge(Gasolene)
เรือ นม.
YO/YOG
เรือน้ำ
Water Barge
เรือ น.
YW
เรือลากจูงเรือ ลจ.
เรือลากจูงขนาดใหญ่
Harbour Tug, Large
เรือ ลจญ.
YTB
เรือลากจูงขนาดกลาง
Harbour Tug, Medium
เรือ ลจก.
YTM
เรือลากจูงขนาดเล็ก
Harbour Tug, Small
เรือ ลจล.
YTL
เรือลำเลียงเรือ ลล.
เรือลำเลียงทหาร
Personnel Transport
เรือ ลลท.
AP
เรือลำเลียงพัสดุ
Light Cargo Ship
เรือ ลลพ.
AKL
เรือสำรวจเรือ สร.
เรือสำรวจขนาดใหญ่
Oceanographic Research Ship
เรือ สรญ.
AGOR
เรือสำรวจขนาดเล็ก
Surveying Ship, Coastal
เรือ สรฝ.
AGSC
เรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำ
Submarine Tender
เรือ พลด.
AS
เรือใช้ในกิจการพิเศษอื่นๆ
เรือใช้งานครื่องหมายทางเรือ
Navigatyional Aids Service Ship/
Buoy Tender
เรือ งคร.
ABU
เรือฝึก
Traning Ship
เรือ ฝ.
AX
เรือพระที่นั่ง
Royal Yacht

YAC

แหล่งอ้างอิง

  • www.navedu.navy.mi.th

ทำเนียบนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2457

⇑ บุคคลสำคัญ

⇑ ทำเนียบนักเรียนนายเรือ


รายชื่อนักเรียนนายเรือ พ.ศ. 2457
(นักเรียนนายเรือ รุ่น 17)

ลำดับที่ชื่อนามสกุลพรรค
1นนร.เกตุนว.
2นนร.สวัสดิ์เดชะไกศยะนว.
3นนร.สวัสดิ์อุณหนันท์นว.
4นนร.บุญเซ็งนว.
5นนร.ภูหินนว.
6นนร.โสภณนว.
7นนร.แช่มเดชดำรงนว.
8นนร.พงศ์นว.
9นนร.จั่นนว.
10นนร.เหยียนนว.
11นนร.ไฮ้ชลศึกย์นว.
12นนร.นพใหม่กล.
13นนร.กลางโรจนเสนากล.
14นนร.ฉุนบุญวงศ์กล.
15นนร.บุนนาคเทศวิศาลกล.
16นนร.ทองสุข(พินิจ)เอมจันทร์(สุวรรณสโรช)กล.
17นนร.ชมกล.
18นนร.เจียมเจียรกุลกล.
19นนร.อินกล.

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.rtna.ac.th

การแบ่งประเภทเรือในกองทัพเรือไทย

⇧ เกร็ดความรู้ชาวเรือ

กองทัพเรือได้ออกระเบียบว่าด้วยการแบ่งประเภทของเรือหลวง พ.ศ. 2555 และได้ยกเลิกระเบียบกองทัพเรือว่าด้วยการแบ่งประเภทของเรือหลวง พ.ศ. 2541 โดยได้ให้ความหมายของเรือใน ทร. ไว้ดังนี้

“เรือหลวง” หมายถึง บรรดาเรือรบและเรือช่วยรบที่มีชื่อปรากฎอยู่ในอัตรากองทัพเรือ
“เรือรบ” หมายถึง เรือตั้งแต่เล็กที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุดที่ใช้ปฏิบัติการยุทธ์
“เรือช่วยรบ” หมายถึง เรือจำพวกที่มิได้ใช้ในการยุทธ์โดยตรงและเรือที่ใช้ในกิจการพิเศษของกองทัพเรือ


  • เรือรบ แบ่งเป็น 11 ประเภท ได้แก่
    1. เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
    2. เรือพิฆาต
    3. เรือฟริเกต
    4. เรือคอร์เวต
    5. เรือเร็วโจมตี
      • เรือเร็วโจมตี (อาวุธนำวิถี)
      • เรือเร็วโจมตี (ปืน)
      • เรือเร็วโจมตี (ตอร์ปิโด)
    6. เรือดำน้ำ
      • เรือดำน้ำ (ธรรมดา)
      • เรือดำน้ำเล็ก
    7. เรือทุ่นระเบิด
      • เรือต่อต้านทุ่นระเบิด
        • เรือกวาดทุ่นระเบิด
          • เรือกวาดทุ่นระเบิดไกลฝั่ง
          • เรือกวาดทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
          • เรือกวาดทุ่นระเบิดชายฝั่ง
          • เรือกวาดทุ่นระเบิดน้ำตื้น
        • เรือล่าทำลายทุ่นระเบิด
          • เรือล่าทำลายทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
          • เรือล่าทำลายทุ่นระเบิดชายฝั่ง
      • เรือวางทุ่นระเบิด
        • เรือวางทุ่นระเบิดใกล้ฝั่ง
        • เรือวางทุ่นระเบิดชายฝั่ง
      • เรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด
    8. เรือยกพลขึ้นบก
      • เรือบัญชาการและสนับสนุนการยกพล
      • เรือยกพลอู่ลอย
      • เรือยกพลขนาดใหญ่
      • เรือยกพลขนาดกลาง
      • เรือยกพลขนาดเล็ก
      • เรือระบายพลขนาดใหญ่
      • เรือระบายพลขนาดกลาง
      • เรือสนับสนุนการยกพล
    9. เรือตรวจการณ์
      • เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง
      • เรือตรวจการณ์ปืน
      • เรือตรวจการณ์ (ปราบเรือดำน้ำ)
      • เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง
      • เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง
    10. เรือปฏิบัติการลำน้ำ
      • เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำ
      • เรือจู่โจมลำน้ำ
    11. เรือปฏิบัติการพิเศษ
      • เรือระบายพลขนาดเล็ก
      • เรือปฏิบัติงานยุทธการนักทำลายใต้น้ำจู่โจม
      • เรือโจมตีลาดตระเวน
      • เรือประมง
      • เรือปฏิบัติการความเร็วสูง
  • เรือช่วยรบ แบ่งเป็น 8 ประเภท ได้แก่
    1. เรือส่งกำลังบำรุง
      • เรือส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่
      • เรือส่งกำลังบำรุงขนาดกลาง
    2. เรือน้ำมัน
    3. เรือน้ำ
    4. เรือลากจูง
      • เรือลากจูงขนาดใหญ่
      • เรือลากจูงขนาดกลาง
      • เรือลากจูงขนาดเล็ก
    5. เรือลำเลียง
      • เรือลำเลียงทหาร
      • เรือลำเลียงพัสดุ
    6. เรือสำรวจ
      • เรือสำรวจขนาดใหญ่
      • เรือสำรวจขนาดเล็ก
    7. เรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำ
    8. เรือใช้กิจการพิเศษอื่นๆ
      • เรือใช้งานเครื่องหมายทางเรือ
      • เรือฝึก
      • เรือพระที่นั่ง

แหล่งอ้างอิง

  • http://www.navedu.navy.mi.th

Copyright © 2025 Seafarer

Theme by Anders NorenUp ↑